วังวนเกมส์การเมือง! ปม “นายใหญ่ฯ” ไม่คิดวางมือ “อยู่บ้าน - เลี้ยงหลาน” แต่เลือกเดินสายดึงฐานเสียงจาก “บ้านใหญ่” ท่ามกลาง 2 คดี “นายกฯเศรษฐา - ยุบพรรคก้าวไกล” ยังถูกยื้อออกไป ทำเอานักลงทุนชาติเห็นต่าง? ไม่เชื่อ “กลุ่มอนุรักษ์นิยม” จะนิ่งเฉย กลายเป็นความไม่เชื่อมั่นต่อการเมืองและเศรษฐกิจ รวมถึงรัฐบาลไทย สิ่งนี้...สะท้อนภาพได้ดีจากดัชนีหุ้นไทย
…………
การเมืองและเศรษฐกิจ เป็น 2 เรื่องที่มีความสัมพันธ์ถึงกันอย่างลึกซึ้ง และมีนัยสำคัญอย่างที่สุด...
การเมืองดี...เศรษฐกิจไม่ดี บ้านเมืองก็มีปัญหา! ทางกลับกัน...หากการเมืองมีปัญหา แล้วเศรษฐกิจมันจะดีได้อย่างไร? ในเมื่อความเชื่อมั่นในทางการเมือง โดยเฉพาะความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและนโยบายหลักของรัฐบาล มีผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
หากนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนไทย หรือนักลงทุนต่างชาติ ที่จะสนใจจะเข้าลงทุนในประเทศไทย ทั้งที่เป็นการลงทุนในระยะสั้น หมายถึงการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ของไทย หรือแม้กระทั่งจะเข้าลงทุนในระยะยาว ซึ่งเป็นการลงทุนระหว่างประเทศโดยตรง หรือ Foreign Direct Investment (FDI)
เขาเหล่านั้น ยิ่งต้องมองถึงประเด็นความเชื่อมั่นของรัฐบาล และความมั่นคงในทางการเมือง เป็นสำคัญ...
ท่ามกลางวังวนในทางการเมืองของประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ผู้ได้รับฉายาจากนักการเมืองฝั่งพรรคเพื่อไทย ว่าเป็น... “นายใหญ่แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” เดินทางกลับเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 นั้น
ดูเหมือนจะไม่เป็นคุณต่อ “รัฐบาลเศรษฐา” และตัว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สักเท่าใด?
การเดินสายลงพื้นที่ “บ้านใหญ่” ในหลายจังหวัดของ “นายใหญ่ฯ” ตลอด 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีเป้าหมายเดียว ก็คือ ต้องการดึงและสร้างฐานเสียงในทางการเมือง หวังเพียงต่อสู้ในศึกเลือกตั้งครั้งใหม่กับ “แชมป์เก่า - พรรคก้าวไกล”
โดยเฉพาะความหวังที่จะ ดึงฐานเสียงของ “บ้านใหญ่” มาหลอมรวมกันอย่างมีเป้าหมาย มุ่งเพิ่มจำนวน “สส.เขตเลือกตั้ง” ครั้งใหม่...ให้มากกว่าเดิม
แต่กลายเป็นว่า...ยิ่ง “นายใหญ่ฯ” เดินสาย...ทั้งงานบุญ งานบวช งานวันเกิด สารพัดงานอื่นๆ มากเท่าใด? ยิ่งทำให้ “เจ้าของบ้านใหญ่” ต่างรู้สึกอึดอัด???
อึดอัดเพราะ...ไม่เพียงจะถูกคนรุ่นใหม่ รวมถึงคนรุ่นใหญ่ที่หันมาเทใจให้เชียร์ “พลพรรคสีส้ม” ต่าง...“ถ่มด่าและโจมตี” กันอึงมี่ จนไม่แน่ว่า...บารมีและฐานเสียงเดิมที่เคยมี ยังจะรักษาเอาไว้ได้อีกหรือไม่?
มากกว่านั้น ต้องไม่ลืมว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร คือ นักโทษในคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นั่นก็หมายความว่า...“เจ้าของบ้านใหญ่” คนที่คอยเปิดบ้านต้อนรับ “นายใหญ่ฯ” เข้าบ้านนั้น
มิต่างจากการสนับสนุน คนติดคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ไปด้วย
ในสังคมไทย เรื่องความผิดในคดีนี้ ถือเป็นใหญ่ร้ายแรง ทั้งในทางกฎหมายและทางการเมือง!!!
แม้วันนี้ “นายใหญ่ฯ” จะได้รับการประกันตัวในชั้นศาลฯ ไปแล้ว แต่กับคดีที่ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน โดนในข้อกล่าวหาจาก “40 สว.” ปม...แต่งตั้งและทูลเกล้าฯ ให้ นายพิชิต ชื่นบาน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ทั้งที่ขาดคุณสมบัติและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ โดยขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยฯ ความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” สิ้นสุดลงหรือไม่?
เรื่องนี้...ยังไม่จบ! เป็นแค่การยืดอายุของคดีออกไปก่อนเท่านั้น และก็ไม่แน่ว่า...ปลายทางของเรื่องจะลงเอยกันอย่างไร?
แม้หลายคน...ทั้งในฝั่งนักการเมือง นักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึงสื่อค่ายเล็ก-ใหญ่ ต่างเชื่อกันลึกๆ ว่า...บารมีของ “นายใหญ่ฯ” ที่ได้รับการประกันตัวในคดี “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” นั้น จะหนุนนำทำให้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน รอดจากวิกฤติการเมืองในครั้งนี้
แต่กับนักลงทุนต่างชาติแล้ว พวกเขาเห็นต่างจากคนไทย เห็นต่างอย่างไร? เดี๋ยวค่อยมากว่ากัน
คดีที่ยังไม่จบของ “นายกรัฐมนตรีไทย” ถูกสำทับจากปม “คดียุบพรรคก้าวไกล” ที่ก็ถูกลากยาวออกไปจากศาลรัฐธรรมนูญ เช่นกัน สิ่งนี้...ทำให้ความเชื่อมั่นต่อภาพลักษณ์การเมืองไทยและเศรษฐกิจไทย ในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ หดหายและดำดิ่งลงลึกมากยิ่งขึ้นไปอีก
ปมที่นักลงทุนต่างชาติ เห็นต่างไปจากมุมมองของนักการเมือง นักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมือง รวมถึง สื่อค่ายเล็ก-ใหญ่ บางกลุ่ม ก็คือ พวกเขาไม่เชื่อว่า “ฝ่ายอำนาจอนุรักษ์นิยม” จะยอมให้ศัตรูที่เคยต่อสู้กันมายาวนานนับแต่ปี 2547 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน ได้ครองอำนาจเหนือสุดเพียงฝ่ายเดียว..โดยลำพัง
และความเชื่อที่ว่า...การจะไม่ยอมกันนี้เอง ที่จะทำให้สภาพการเมืองและเศรษฐกิจของไทยในวันข้างหน้า อาจไร้ซึ่งเสถียรภาพได้!!!
นั่นจะกลายเป็นความเสี่ยงตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย?
นักลงทุน...ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น (ระยะสั้น) หรือนักลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมหรือกิจการค้าต่างๆ (ระยะยาว) ย่อมหวังผลกำไรจากการลงทุนทั้งสิ้น
ลงทุนแล้วเสี่ยงที่จะต้องขาดทุน สู้ไม่เข้าลงทุนเสียเลยจะดีเสียกว่า หรือพวกที่ได้ลงทุนไปแล้ว หากมองเห็นความเสี่ยงอยู่ข้างหน้า ก็เตรียมพร้อมที่จะถอนทุนด้วยการย้ายการลงทุนหนีไป
การลงทุนในตลาดหุ้น ก็ย้ายง่ายหน่อย เพียงเทขายหุ้นที่ได้ลงทุนเอาไว้ทิ้งไป แค่นี้...กระดานหุ้นของไทยก็ “แดงโร่” เช่นที่เป็นอยู่ตลอดเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาแล้ว
ยากหน่อยก็คือ การลงทุนระยะยาว เพราะการจะปิดหรือย้ายกิจการหนีไปจากประเทศไทย ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงจะยาก...หากปลายทางข้างหน้าเห็นชัดว่า วิกฤติการเมืองของไทยจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ สิ่งนี้...ย่อมส่งผลกระทบต่อการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่ตามมา แน่นอนว่า...ธุรกิจ/อุตสาหกรรม รวมถึงกิจการค้าต่างๆ ของนักลงทุนต่างชาติ ย่อมเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายตามไปด้วย
ภาพความไม่แน่นอนของการเมืองไทย โดยเฉพาะปม...คดีนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน และคดียุบพรรคก้าวไกล ที่ยังคงเป็นเพียงแค่การ “ซื้อเวลา” ออกไป...ได้ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติไปจนแทบไม่หลงเหลือความเชื่อมั่นแล้ว
ดัชนีที่ชี้วัดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ มากสุด! คงไม่พ้นภาพรวมลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย จะเห็นได้ว่า...นับแต่ต้นปีจนถึงวันก่อนจะมีคำตัดสินในทางเมือง เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมานั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยถูกนักลงทุนต่างชาติ “เทขาย” มาอย่างต่อเนื่อง
เบ็ดเสร็จรวมกันแล้ว ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท!!!
หลายครั้งที่กระดานหุ้นของไทย ได้ปรากฏภาพ “แดงโร่” เกือบทั้งกระดาน นั่นก็หมายถึงว่า หุ้นไทย “ติดลบ” มากกว่าบวก เหตุจากนักลงทุนต่างชาติพากันเทขาย เพราะไม่เชื่อมั่นต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทย อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาลไทยและนโยบายหลักของรัฐบาลไทย นั่นเอง
แม้ในวันที่มี การพิจารณา 4 คดีการเมืองของไทย (18 มิถุนายน) ไม่ว่าจะเป็น...คดีอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร คดีนายเศรษฐา ทวีสิน คดียุบพรรคก้าวไกล และคดีที่มีของ สว. ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย จะ “ผงกหัว” เป็นบวก...
โดยปิดตลาดที่ระดับ 1,297.41 จุด เพิ่มขึ้น 0.82 จุด หรือบวก 0.06% มูลค่าซื้อขาย 38,015.41 ล้านบาท ซึ่งระหว่างวัน...พบดัชนีปิดตลาดสูงสุดที่ 1,310.76 จุด และต่ำสุดที่ 1,296.18 จุด
แต่หากโฟกัสไปที่การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติแล้ว จะพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อ 20,342.67 ล้านบาท และขาย 22,083.61 ล้านบาท
เทขายมากกว่าซื้อถึง 1,740.94 ล้านบาท
สะท้อนภาพว่า...นักลงทุนต่างชาติ ยังไม่อาจจะมั่นใจในทิศทางของการเมืองไทย ที่อาจส่งผลกระทบถึงทิศทางเศรษฐกิจของไทย สักเท่าใด?
ความไม่เชื่อมั่นข้างต้น สะท้อนได้จากภาพการเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ และการที่ดัชนีหลักทรัพย์ตกต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ก่อนปิดตลาดช่วงเช้า (เวลา 11.12 น.) ของวันที่ 20 มิถุนายน 2567 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย ยังคงติดลบเล็กๆ โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1301.1 จุด ติดลบ 2.72 (-0.21%)
โอกาสจะได้เห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย พุ่งทะยานที่ระดับเกินกว่า 1,500 จุด เช่นที่ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแขนงต่างๆ นั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย
เอาแค่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่หลุด 1,300 จุด ก็เหนื่อยชนิด...หืดขึ้นคอ! กันแล้ว
ยิ่งในภาวะที่ “เกมส์การเมือง” ยังไม่นิ่ง! และ “นายใหญ่ฯ” ยังคงเดินสาย...สร้าง “อุบัติกรรม” ในทางการเมือง โดยไม่คิดจะวางมือ หรืออยู่กับบ้านเลี้ยงหลาน อย่างที่เคยลั่นวาจาเอาไว้
ความวางใจของศัตรูในทางการเมือง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ก็ย่อมจะเกิดขึ้นได้ยาก!
เมื่อไม่มีความไว้วางใจและไร้ความเชื่อมั่น โอกาสที่เศรษฐกิจและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทย จะผงกหัว ถึงขั้น...เผยอหน้า ถึงไปแตะที่ระดับ 1,500 จุด จึงถือเป็นเรื่องที่ “ยากจะเป็นไป” หรือ Impossible สุดๆ!!!