สิ้นสุดทางเลื่อนของแทร่! หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลางให้ กทม. จ่ายหนี้ค่าจ้างเดินรถ บีทีเอส ใน 6เดือน โดยผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลปกครอง เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567 เวลา 9.00 น. ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.2226/2565 ระหว่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอสซี (ผู้ฟ้องคดี) กับกรุงเทพมหานครกับพวกรวม 2 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และบริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.006/55 ลว. 3 พฤษภาคม 2555
และส่วนต่อขยายที่ 2 ตามสัญญาเลขที่ กธ.ส.024/59 ลว. 1 สิงหาคม 2559 กรณีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองไม่ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดีโดยผู้ฟ้องคดี ได้มีหนังสือ ลว. 18 กันยายน 2563 และหนังสือ ลว. 15 มกราคม 2564 ทวงถามไปยังผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ให้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองเพิกเฉย เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย จึงนำคดีมาฟ้อง)
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเห็นว่า การที่ กทม. ได้ดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 และได้มอบหมายให้ บ.กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจที่ กทม. ถือหุ้นร้อยละ 99.98 เพื่อให้การดำเนินกิจการสาธารณะของ กทม. มีความคล่องตัว ดังนั้นเมื่อ บ.กรุงเทพธนาคมฯ มีหนี้ค้างชำระตามสัญญา การให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร กับบีทีเอสทั้งในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 กทม. จึงต้องร่วมรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวกับ บ.กรุงเทพธนาคมฯ ให้กับบีทีเอส ด้วย จึวแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองร่วมกันชำระเงิน
โดยยืนตามศาลชั้นต้นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 2 ร่วมกันชําระเงินสด สำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 จำนวน 2,348,659,232.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 2,199,091,830.27 บาท
และสำหรับหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 จำนวน 9,406,418,719.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงิน จำนวน 8,786,765,195.47 บาท ตามอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำหรับเงินกู้สกุลเงินบาทบวกร้อยละ 1 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
ด้าน นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า น้อมรับคำตัดสินของศาล หลังจากนี้ต้องมีการออกร่างข้อบัญญัติเพื่อจ่ายเงิน โดยให้สภา กทม.เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ จึงมอบหมายให้ สำนักการจราจรและขนส่ง (สจส.) สำนักงบประมาณ กทม. และสำนักการคลัง นำคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดมาอ่านอย่างละเอียด ดูขั้นตอน และช่วงเวลาการจ่ายเงิน ซึ่งจะนำเงินสะสมจ่ายขาดมาจ่ายเงินคืน โดยมีการสำรองเงินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
นายวิศณุ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารยังไม่นำร่างข้อบัญญัติฯ เข้าสภา กทม. ในสมัยนี้ เพราะต้องให้กรมบังคับคดีสรุปตัวเลขที่ต้องจ่ายเงินส่งมาให้กับทาง กทม. อีกครั้ง เบื้องต้นจากคำพิพากษาให้เวลา 180 วัน ในการจ่ายเงิน แต่ กทม. จะดำเนินการให้เร็วที่สุด และรอบคอบ คาดว่าจะใช้เวลาภายใน 140 วัน