ยังคงเป็นเรื่องที่สังคมยังคงแคลงใจ!..กับเรื่องที่ผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ดาหน้าออกมาแถลงข่าวล่าสุด ยืนยันและนั่งยัน (เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่ได้เชิญสื่อทั่วไปเข้าร่วม) บริษัทไม่ได้เป็น "ต้นตอ" การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ทำลายอุตสาหกรรมสัตว์น้ำของไทยจนย่อยยับ
…
พร้อมฉาย "หนังเก่า" ไล่ไทม์ไลน์การขออนุญาตนำเข้าปลาหมอคางดำในอดีต ที่อ้างเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปลานิลที่มีอยู่ โดยขอนำเข้าจำนวน 5,000 ตัว แต่ภายหลังมีการนำเข้ามาได้จริงจากกาน่าเพียง 2,000 ตัวเท่านั้น
ก่อนจะพบว่า ปลาที่นำเข้ามาตายไปกว่า 1,400 ตัว (ไม่มีเศษ ไม่มีเกิน นับยังไงได้เป๊ะๆ) เพราะอ่อนแอจากการขนส่งข้ามน้ำข้ามทะเล ส่วนที่เหลือ 600 ตัว ก็ทยอยตายภายใน 2 สัปดาห์ ทำให้บริษัทตัดสินใจยุติการทดลองวิจัย และสั่งทำลายซากปลาหมอคางดำที่เหลือตามระเบียบเงื่อนไขที่รัฐกำหนด
น่าแปลก! เหตุไฉนปลาหมอคางดำที่ซีพีเอฟนำเข้ามา มันช่างผิดวิสัยปลาหมอคางดำที่กำลังระบาดอยู่ในปัจจุบันเสียเหลือเกิน ที่ "ฆ่ายังไงก็ไม่ตาย" ขนาดไถบ่อทิ้งตากแดดเป็นแรมเดือน พ่อเจ้าประคุณยังอุตส่าห์ออกลูกออกหลานแพร่ขยายใหม่จากไข่ที่พ่อแม่ปลาไข่ทิ้งเอาไว้
แถมยังทิ้งปริศนาให้ได้คิด บริษัทภิบาลใหญ่สุดในสามโลกที่อุตส่าห์เตรียมการทดลองวิจัยมาตั้ง 4-5 ปี (ขออนุญาตนำเข้าปี 49 นำเข้าจริงปี 53) แต่นำเข้าพันธุ์ปลาแค่ล็อตแรกล็อตเดียวเจอปลาอ่อนต่อโลกใจเสาะตายไปหมด บทจะถอดใจยุติการทดลองวิจัยขึ้นมาก็ถอดใจมันดื้อๆ ว่างั้นเถอะ!
แล้วที่ไปพัฒนาพันธุ์ปลานิล พันธุ์ปลาหยก หรือ "เก๋าหยก" ในภายหลังนั้น ไปลากเอาพันธุ์ปลาที่ไหนมาทดลองวิจัย หรือให้มันพัฒนาไปตามยถากรรมก็ได้พันธุ์ปลาเชิงพาณิชย์ใหม่ขึ้นมา
ไม่แปลกใจเลยที่ถนนทุกสายยังคง "ฟันธง" เชื่อสนิทใจว่า ต้นตอการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำนั้น บริษัทภิบาลรายนี้ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ เพราะไม่มีเอกชนรายใดนำเข้าพันธุ์ปลาเจ้ากรรมที่ว่านี้
ไอ้ที่เที่ยวไปโยนกลองโทษกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงปลาสวยงามที่อ้างมีการส่งออกรึ? ทุกฝ่ายต่างรู้สาแก่ใจกันดี ปลาหมอคางดำนั้นไม่ได้เป็นพันธุ์ปลาสวยงาม ไม่ได้เป็นพันธุ์ปลาที่มีราคาไม่ได้อยู่ในตลาดนี้ใครเขาจะบ้านำเข้า
พ่อค้าปลาสวยงามจะนำเข้ามาทำสากกระเบืออะไร?
และการที่ฝ่ายบริหาร CPF เรียงหน้าออกมาแถลงยืนยันนั่งยันเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า บริษัทไม่เกี่ยวข้องนี้ จึงยิ่งเป็นการตอกย้ำให้สังคมเห็น "กำพืด" ของบริษัท ที่แสดงออกถึงการขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
เป็นการเสียดายโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงและภาพพจน์ที่ดีงามในสามโลกของบริษัทจริงๆ และพลอยทำให้ผู้คนนึกเลยไปถึงกรณีนำเข้า "หมูเถื่อน" เกลื่อนเมือง ก่อนหน้านี้ ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บริษัทภิบาลซีพีก็เข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการนำเข้าหมูเถื่อนนี้ อย่างช่วยไม่ได้
แม้จะอ้างว่าไม่เคยรู้เรื่อง ไม่ได้เป็นผู้นำเข้า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการนำเข้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีการนำเอาหมูเถื่อน หมูชำแหละ และเครื่องใน(ตับหมู)เหล่านั้น ขึ้นไปวางขายยังห้างค้าปลีกค้าส่งยักษ์ของตนเองมาแล้ว
ยิ่งวันวานเหลือบไปเห็นข่าว นายปรีชา ศิริแสงอารำพี เจ้าของบริษัท ศิริแสงอารำพี จำกัด ผู้ผลิตปลาป่น ที่เข้าร่วมกับประมงสมุทรสาคร เปิดรับซื้อปลาหมอคางดำเจ้าโรงงานปลาป่นให้สิ้นเรื่อง จนถึงวันนี้สามารถกำจัดปลาไปได้แล้ว 769,231 กิโลกรัม
โดยในส่วนของโรงงานศิริแสงอารำพี ที่ร่วมมือกับบริษัท ซีพีเอฟ รับซื้อปลาหมอคางดำจากทุกจังหวัดทั่วประเทศในราคา 15 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อนำไปผลิตเป็นปลาป่นอาหารสัตว์นี้ นัยว่า ขณะนี้มีผู้นำปลาหมอคางดำจากจังหวัดสมุทรปราการเข้ามาส่งให้โรงงานแล้วรวม 5,860 กิโลกรัม และยังเปิดรับซื้อปลาหมอคางดำจากเกษตรกรและชาวประมงในจังหวัดสมุทรสาครต่อเนื่ิองต่อไป
ความร่วมมือข้างต้นนั้นถือว่า บริษัทได้ทำมาดีแล้ว และน่าจะช่วยให้บริษัทได้รับความชื่นชมไปมากกว่านี้ หากจะแสดงความรับผิดชอบให้สังคมได้เห็นว่า แม้จะไม่ได้เป็นต้นตอการนำเข้าและแพร่ระบาด (ปลามันอาจจะว่ายน้ำข้ามน้ำข้าม ทะเลมาจริงๆ)
แต่ในฐานะที่ CPF หรือ เครือซีพี. คือผู้นำอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ปศุสัตว์ และอาหารสัตว์ของประเทศยังพร้อมจะแสดงความรับผิดชอบ ในการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากปลาหมอคางดำในครั้งนี้ ด้วยการทุ่มเทเม็ดเงินทุ่มเทสรรพกำลัง ระดมแลปวิจัยที่มีอยู่ทั้งหมด เพื่อสกัดกั้นและทำลายการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำที่ว่านี้
ไม่เพียงแค่การรับซื้อหรือตั้งจุดรับซื้อปลาหมอคางดำไปผลิตเป็นปลาป่น ผลิตเป็นแค่อาหารสัตว์ดังที่ทำอยู่เท่านั้น แต่ต้องแสดงให้เห็นว่า บริษัทพร้อมจะร่วมเยียวยา แจกพันธุ์ปลา พันธุ์กุ้ง พันธุ์สัตว์น้ำที่จะช่วยฟื้นฟูวิถีชีวิตของเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ ทั่วประเทศ อย่างถึงที่สุด ต้องแสดงให้เห็นว่า บริษัทไม่ได้ลอยตัวเหนือปัญหาอย่างที่เป็นอยู่
แต่สิ่งที่ผู้บริหาร CPF แสดงออกมานั้นกลับตรงข้าม ถึงต้องบอกว่าเสียดายโอกาส ในการกอบกู้เครดิตชื่อเสียงและภาพพจน์ของบริษัทภิบาลในสามโลกโดยแท้
เพราะสุดท้ายยังไงซะ ผู้คนก็ยังคงฝังใจ เมื่อบริษัทเป็นต้นต่อของกันแพร่ระบาดปลาหมอคางดำ ต่อให้นำเอาไปผลิตเป็นปลาป่นเป็นอาหารสัตว์ออกมาจำหน่าย ผู้คนก็ยังคงจะไม่ให้ความเชื่อถือ เผลอดีไม่ดีจะ "บอยคอต" สินค้า ในเครือ CPF ไปทั้งหมดเอาด้วย ทำเป็นเล่นไป
ที่สำคัญใจอนาคตอันใกล้นั้น กลุ่มซีพี. เองยัง มีแผนจะร่วมกับพันธมิตรยื่นขอไลเซ่นส์จัดตั้งธนาคารไร้สาขา Virtual Bank อยู่ด้วยอีก ...
หากเครดิตชื่อเสียงและภาพพจน์ของบริษัทป่นปี้อยู่เช่นนี้ แล้วใครจะอยากใช้บริการการเงินหรือธุรกรรมการเงินกับบริษัทภิบาล(แต่เปลือก) ที่พร้อมจะปัดความรับผิดชอบแบบนี้ จริงไม่จริง!!!