อ้างวิกฤติโควิด เอกชนหืดจับระดมทุน 2 แสนล้าน
แต่ตั้งแท่นแก้สัญญาถลุงเงินรัฐเปิดทางเอกชนจับเสือมือเปล่า
- เมินคำเตือน สตง. ขัดหลักการร่วมลงทุน
จับโป๊ะ คมนาคม-สกพอ. ตั้งแท่น แก้สัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน อ้างวิกฤติโควิด ทำเอกชนระดมทุนได้ยาก ต้องแก้สัญญาให้โครงการเดินหน้าต่อ โดยรัฐปรับร่นเวลาจ่ายเงินร่วมทุน 1.2 แสนล้าน เร็วขึ้น ด้าน สตง. เตือนขัดหลักการประมูล - สัญญาร่วมลงทุน ด้าน "สุริยะ" ยืนกรานไม่เอื้อเอกชน เป็นโครงการต่อเนื่องจากรัฐบาลก่อน
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงการแก้ไขสัญญาสัมปทาน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินลงทุน 2.24 แสนล้าน ว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยังไม่ได้นำเสนอ ครม. สัปดาห์นี้ คาดว่าคงจะนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาดังกล่าวเป็นเรื่องที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นผู้เจรจากับภาคเอกชน คือ บริษัท เอเซียเอราวัน จำกัด (เครือซีพี.) โดยเอกชนได้รับผลกระทบจากโควิด อยากให้รัฐบาลแก้ไขเยียวยา ซึ่งมีข้อเสนอมา 6 ข้อ แต่คณะกรรมการกำกับดูแลสัญญาเห็นว่ามีเพียงข้อเดียวที่จะรับได้ คือ เรื่องต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
ส่วนข้อเรียกร้องประเด็นค่าก่อสร้างเพิ่มเติมที่เอกชนขอมานั้น รฟท. ไม่ได้ให้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับผลกระทบโควิด เรามองว่าเป็นเหตุสุดวิสัย จึงต้องแก้สัญญา โดยได้ดูครบถ้วนทุกประเด็นที่รัฐไม่เสียประโยชน์ ประกอบกับเราอยากให้โครงการนี้เดินต่อ หากมีการยกเลิกสัญญาปัญหาจะตามมา รัฐเองต้องยอมรับว่าไม่สามารถส่งพื้นที่ก่อสร้างให้กับเอกชนได้ เอกชนเองที่ต้องจ่ายในส่วนของแอร์พอร์ตลิงก์ให้ก็ไม่ได้จ่าย ทำให้ต้องเจรจากัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องการเจรจา ตนไม่ใช่ผู้ริเริ่มเจรจา แต่เป็นโครงการที่ต่อเนื่องมาจาก รฟท. และเข้ามาที่สำนักงานนโยบายและแผนงานและขนส่งจราจร กระทรวงคมนาคม เป็นผู้กรองเรื่อง ซึ่งเห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์ ไม่เสียเปรียบ ตนจึงได้เซ็นเรื่องไป
“โครงการนี้เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ ลดระยะเวลาเดินทางจาก กทม. ไปอู่ตะเภาได้มาก การเดินหน้าโครงการนี้จึงเป็นประโยชน์ ยืนยันการเดินหน้าโครงการนี้รัฐบาลไม่เสียเปรียบเอกชน 100% เพราะการแก้ไขสัญญาต่างๆ มีอัยการเข้ามาช่วยดูแล” นายสุริยะ กล่าว
ตกลงที่รัฐบาลและการรถไฟฯ ยอมแก้ไขสัญญานั้น เพราะวิกฤตไวรัสโควิด-19 หรือสงครามรัสเซีย-ยูเครนกันแน่ และที่เอกชนอ้างผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้กู้เงินได้ยากขึ้น จึงขอให้รัฐช่วยเหลือกระนั้นหรือ?
คำถามคือในแนวทางการแก้ไขสัญญาที่กำลังตั้งแท่นเสนอ ครม.นี้ มีส่วนไหนที่รัฐช่วยเหลือเรื่องเงินกู้แก่เอกชนบ้าง อาทิ รัฐจะจัดหาแหล่งเงินกู้ หรือช่วยเจรจาแหล่งเงินกู้ให้เอกชนหรือไม่? ก็เปล่า.....
มีแต่การที่รัฐปรับร่นการจ่ายเงินสนับสนุนโครงการ จำนวน 119,000 ล้าน ตามมติ ครม.จากเดิมที่ต้องจ่ายเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ (ในปีที่ 6 ของสัญญาเป็นระยะเวลา 10 ปี) มาเป็นการสร้างไป-จ่ายไปในปีที่ 2 แทนการระดมทุนของเอกชน
ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเอกชนในเรื่องของการระดมทุน หรือออกหน้าจัดหาแหล่งเงินให้เอกชนตามที่อ้าง มีแต่เอาเงินของรัฐไปลงทุนก่อสร้างแทนเอกชนเท้านั้น ทั้งที่ความรับผิดชอบในการระดมทุนก่อสร้างนั้นเป็นเรื่องของเอกชนโดยตรง
ส่วนข้ออ้างการส่งมอบพื้นที่นั้น รฟท. เอง ได้ดำเนินการส่งมอบไปตามสัญญาภายในกำหนดระยะเวลาแล้ว แต่เนื่องจากที่ดินบางส่วนที่ส่งมอบยังติดปัญหาลำรางสาธารณะ ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบข่ายอำนาจของรถไฟฯ และตามเงื่อนไขก็ระบุเพียงการส่งมอบพื้นที่เท่านั้น การจะเพิกถอน หรือไม่เพิกถอนลำรางสาธารณะในพื้นที่แทบไม่มีผลต่อการดำเนินโครงการใดๆ เพราะอยู่ในพื้นที่รถไฟ
เมินคำเตือน สตง. กระทบหลักการร่วมลงทุน
ก่อนหน้านี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้เผยแพร่รายงานการติดตามและตรวจสอบความคืบหน้า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินดังกล่าว โดยระบุว่า มีความล่าช้าไปจากกำหนดการ ไม่น้อยกว่า 2 ปี 10 เดือน ทำให้การเปิดให้บริการเดินรถล่าช้าจนส่งผล ให้ประชาชนเสียโอกาสในการใช้บริการ และการรถไฟฯ เองก็เสียโอกาสที่จะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากเอกชนคู่สัญญา รวมถึงอาจมีความเสี่ยงที่จะต้องชดเชยความเสียหายจากการดำเนินโครงการที่ไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการอื่นๆ ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก รวมทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงไทยจีน ด้วย
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหาการประเมินโครงการ โดยการปรับการชำระเงินโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นและแบ่งชำระการร่วมลงทุนในโครงการ Airport rail Link ที่รถไฟยังไม่ได้รับการชำระจากสัญญานั้น ในรายงาน สตง. ระบุว่า มีความเสี่ยงที่จะกระทบหลักการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเติมศักยภาพในการลงทุน และลดภาระทางการเงิน และการคลังของรัฐและวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายโอนความเสี่ยงให้เอกชน อีกทั้งยังจะทำให้รถไฟฯ และรัฐบาลเสียโอกาสในการนำเงินที่จะ ร่วมลงทุนในโครงการไปใช้สำหรับการบริหารงานหรือดำเนินโครงการอื่นๆ ที่จำเป็นเร่งด่วนอีกด้วย