
คนไทยที่เคยได้รับบทเรียนกับม็อบลงถนนไปปิดสนามบิน ม็อบคลั่งชาติทวงคืนเขาพระวิหาร ม็อบล้มการเลือกตั้ง จึงต้องตั้งสติกันให้ดี เนื่องจากกรณีของ OCA จะไม่ต่างอะไรกับ “JDA” ที่ไทยพัฒนาพื้นที่ร่วมกับมาเลเซีย
…
การเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) จะสำเร็จลุล่วงไปได้ จนถึงการขุดก๊าซธรรมชาติ-น้ำมันดิบ ขึ้นมาแบ่งกันใช้ทั้งสองประเทศ ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง..
1. คณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ซึ่งตอนนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศ ยังไม่ได้ตั้ง JTC เพื่อไปคุยกับฝ่ายกัมพูชา ภายในกรอบและกลไกในการเจรจาที่เรียกกันว่า “MOU44”
2. เมื่อ JTC ทั้งสองประเทศ เจรจาหารือประเด็นต่างๆ จนได้ข้อสรุปแล้ว! JTC ฝ่ายไทยจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้ความเห็นชอบ
3. ถ้า ครม.เห็นชอบ ก็ต้องส่งเรื่องไปที่รัฐสภา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภา (สส.+สว.) ร่วมกันโหวตว่าเห็นชอบจะให้รัฐบาลลุยต่อเรื่องการไปลงนามกับกัมพูชาในกรณี OCA หรือไม่
ขั้นตอน OCA มันเป็นแบบนี้!

ดังนั้น คนไทยที่เคยได้รับบทเรียนกับม็อบลงถนนไปปิดสนามบิน ม็อบคลั่งชาติทวงคืนเขาพระวิหาร ม็อบล้มการเลือกตั้ง จึงต้องตั้งสติกันให้ดี เนื่องจากกรณีของ OCA จะไม่ต่างอะไรกับ “JDA” ที่ไทยพัฒนาพื้นที่ร่วมกับมาเลเซีย
ก่อนหน้านี้ “เสือออนไลน์” ได้ยินเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง บอกอย่าไปเรียก “พื้นที่ทับซ้อน” แต่ให้เรียกว่า “พื้นที่อ้างสิทธิ”
พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area: JDA) เป็นพื้นที่ใต้ทะเลบริเวณไหล่ทวีประหว่างประเทศไทยและมาเลเซียในบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง โดยทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์เหลื่อมล้ำกันทำให้พื้นที่ดังกล่าวประมาณ 7,300 ตารางกิโลเมตร
เป็นพื้นที่พิพาทที่ประเทศทั้งสองไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์จากทรัพยากรแร่ธาตุในบริเวณนี้ได้ เว้นแต่จะเจรจาทำความตกลงแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว

ไทยและมาเลเซียได้มีการเจรจาทำความตกลง เพื่อให้สามารถแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลบริเวณที่เหลื่อมล้ำร่วมกัน และในที่สุดได้มีการลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 21 ก.พ.2522 ในบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและมาเลเซีย เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมเพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นดินใต้ทะเลในบริเวณที่กำหนดของไหล่ทวีปของประเทศทั้งสองในอ่าวไทย
โดยกำหนดให้พื้นที่ใต้ทะเลในบริเวณที่ทั้งสองประเทศอ้างสิทธิในไหล่ทวีปซ้อนกันนั้นเรียกว่า “พื้นที่พัฒนาร่วม”
ปี 2537 (ตอนนั้นนายทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ได้เล่นการเมือง) องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ได้ลงนามให้สิทธิสัญญาสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 2 ฉบับ แก่บริษัทเอกชนผู้ประกอบการในพื้นที่ JDA ซึ่งแบ่งพื้นที่สำรวจเป็น 2 พื้นที่ คือ แปลง A-18 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางกิโลเมตร และแปลง B-17 และ C-19 ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 4,250 ตารางกิโลเมตร
ปี 2542 (นายทักษิณยังไม่ได้เป็นนายกฯ) ได้มีการลงนามในสัญญาสำคัญ 2 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ แปลง A-18 จากพื้นที่ JDA ระหว่างองค์กรร่วม Petronas Carigali, Triton Oil, Petronas และ ปตท. และสัญญาร่วมทุนระหว่าง ปตท. กับ Petronas ในการใช้ประโยชน์ก๊าซธรรมชาติจาก JDA ในโครงการท่อส่งก๊าซไทย-มาเลเซีย (TTM) และโรงแยกก๊าซ (GSP) ในเขต 5 จังหวัดภาคใต้ของไทย และรัฐตอนเหนือของมาเลเซีย
ปี 2543 ปตท. และ Petronas ร่วมกันจัดตั้งบริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด และ Trans Thai-Malaysia (Malaysia) Sdn. Bhd. ขึ้นในไทยและมาเลเซีย โดยถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 50 เท่ากันในทั้งสองบริษัท เพื่อดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อที่ได้จากแหล่ง JDA มาใช้ประโยชน์ในทั้งสองประเทศ โดยปี 2548 จึงเริ่มขุดก๊าซธรรมชาติขึ้นมาแบ่งกันใช้สองประเทศ ในสัดส่วน 50 : 50

สรุป JDA ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย แต่ทำไมไทย-มาเลเซียจึงขุดก๊าซธรรมชาติขึ้นมาแบ่งกันใช้ได้ ทำไมไทยไม่ขุดขึ้นมาใช้ฝ่ายเดียว แล้วทำไมมาเลเซียไม่ขุดขึ้นมาใช้ฝ่ายเดียว! เพราะทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์เหลื่อมล้ำกันทำให้พื้นที่ดังกล่าวเหมือนกัน
ถาม? คนที่ออกมาปั่นกระแสเรื่องเกาะกูด รวมทั้งคนที่อยากลงถนน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ว่าการพัฒนาพื้นที่ JDA ตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ไทยเสียดินแดนให้มาเลเซียหรือเปล่า ?
เสือออนไลน์