น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ทวิตข้อความในเอ็กซ์ Ying Rinthipond Varinvatchararoj ถึงประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาด เฟส 2 ส่วนขยาย 3,600 เมกะวัตต์ (MW) ว่า ไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น
โดยระบุว่า หญิงอยากให้ใจเย็นๆ อยากให้ดูข้อเท็จจริง ว่าทำไมสัมปทานไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนส่วนขยาย 3600 MW ที่เพิ่มขึ้น ถึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อค่าไฟอย่างที่ฝ่ายค้านพยายามบิดเบือน
เพราะการรับซื้อพลังงานสีเขียวรอบ 3600 MW นี้เป็นการรับซื้อเพิ่มเติม ต่อเนื่องจากการรับซื้อรอบแรก 5000 MW จากแผน PDP เดิม ที่ไทยต้องการจะมีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้น เพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกให้ความสำคัญมาก เช่น Microsoft Google Amazon เพื่อสร้าง Data Center หรืออุตสาหกรรม Semiconductors ที่เลือกจะมาลงทุนในไทย รวมถึง Could Computing และ AI ที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลในการประมวลผล นี่ยังไม่รวมภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด
ส่วนเหตุที่ทำไมต้องทำสัญญายาว 25 ปี ทำไมไม่รับซื้อทุกปี หรือทุก 3 ปี เพราะราคาพลังงานสะอาดอาจถูกลงในอนาคตนั้น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพท.ระบุว่า ราคาพลังงานสะอาดไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง จะมีแต่ต้นทุนการก่อสร้าง จึง “อย่ามโน” เพราะเป็นพลังงานสีเขียว
"ตัวเลขอัตราค่าไฟ 2:20 บาท/หน่วย เกิดจากการประเมินที่ EGAT คำนวณราคา และคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างสมเหตุสมผล ซึ่งถือเป็นต้นทุนพลังงานที่ถูก.. ถูกที่สุด.. เมื่อเทียบกับพลังงานในรูปแบบอื่นๆ โดยไม่มีค่าความพร้อมจ่าย ซึ่งหากเราเติมเข้ามาในระบบ ก็จะเป็นการถัวเฉลี่ยค่าไฟลง ช่วยให้ค่าไฟฟ้าในภาพรวมถูกลงได้ด้วย และเมื่อโรงไฟฟ้าก๊าซ ถ่านหิน หมดอายุไป รัฐบาลจะลดการต่ออายุโรงไฟฟ้าพลังงานเหล่านี้ลง"
นอกจากนี้ พลังงานสีเขียวยังไม่มีความเสี่ยงต้นทุนเพิ่มขึ้นที่อาจจะกระทบจากตลาดโลก เช่น ราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ หรือราคาถ่านหินอีกด้วย
“ค่าไฟแพงขึ้นตรงไหน อย่ามโน” ถ้ามองอะไรไม่เคยเห็นภาพใหญ่ ก็ช่วยเห็นแก่ประเทศชาติ และประชาชน และหากเกิดวิกฤตในอนาคตมีการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ เหมือนช่วง โควิด ที่มีความต้องการใช้ไฟเพิ่ม เอกชนที่ได้สัมปทานต้องมีการแบกรับต้นทุนจากค่าซ่อมบำรุงเอง หรือถ้าเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตใดๆ ก็จะไม่มีผลต่อราคาค่าไฟ เพราะรัฐบาลรับซื้อโดยประกันค่าไฟไปแล้วที่ 2:20บาท/หน่วย"
ส่วนที่ว่า รัฐบาลเอื้อทุนใหญ่ ทำไมไม่ให้มีการประมูลเหมือนที่ผ่านมาจะได้แข่งขันด้านราคาได้นั้น เพราะที่ผ่านมาในอดีตแนวนโยบายพลังงานแห่งชาติ ก่อนมี PDP2018 เราเคยใช้การประมูลราคามาแล้ว แต่พบปัญหาผู้ที่ได้สัญญาไปขายสัญญาต่อ ไม่ได้ผลิตเอง สุดท้ายก็ผลิตไฟฟ้าไม่ได้ ดังนั้นการประมูลที่เน้นราคาถูก จึงไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด
"ยกตัวอย่าง เหมือนสินค้าจีนราคาถูกแต่คุณภาพไม่ได้ ความปลอดภัยไม่มี ความน่าเชื่อถือไม่มี คุณจะซื้อไหม จะเอาการลงทุนที่กำลังจะเกิดขึ้นไปเสี่ยงไหมคะ"
เหตุนี้ รัฐบาลจึงหาทางแก้ไข เพราะพลังงานเป็นหนึ่งในมิติความมั่นคง ที่ต้องมีทั้ง 3 ด้าน เป็น 1. ความมั่นคงพลังงาน 2. ความมั่นคงทางราคา และ 3. ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม
"ที่ชัดก็คือ เกณฑ์การคัดเลือกจะพิจารณาความพร้อมทั้งในด้านราคา คุณสมบัติ และเทคนิค ร่วมกัน โดยราคา : ต้องยอมรับ และปฏิบัติตามค่าไฟที่รัฐกำหนด ซึ่งถูกมาก ด้านคุณสมบัติ : เช่น เป็นนิติบุคคลไทย ทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ การวางหลักค้ำประกัน มีจุดเชื่อมโยง เป็นต้น และเทคนิค : มีความพร้อมด้านพื้นที่ เทคโนโลยี เชื้อเพลิง การเงิน และความเหมาะสมของแผนดำเนินงาน"
"ถ้าคุณเป็นบริษัทที่ผ่านเกณฑ์เหล่านี้คุณก็มีสิทธิในการได้สัมปทาน ไม่มีการเอื้อกลุ่มทุนใดๆ เป็นเรื่องเกณฑ์ที่เหมาะสมและดีที่สุด"
สรุปทั้งหมด สัมปทานใหม่ ค่าไฟฟ้าไม่ได้แพง แต่ถูกสุด เมื่อเทียบทุกพลังงาน คือ 2:20บาท/หน่วยค่ะ อย่าบิดเบือน และ เอื้อกลุ่มทุนตรงไหน เกณฑ์ที่กำหนดใครเข้าเกณฑ์มีสิทธิหมด และพลังงานเป็นเรื่อง ความมั่นคง 3 มิติ 1. ความมั่นคงพลังงาน 2. ความมั่นคงทางราคา และ 3. ความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อม นะคะ