รู้ยัง? แม้แต่คนเป็นหมอ ระดับผู้บริหาร รพ.เอกชนชั้นนำ ยังปฏิเสธจะฉีดวัคซีนไวรัสโควิดฯ แล้วทำไมคนไทยจึงเร่งเร้ากันหนัก ลองอ่านบทความนี้ดู...แล้วอาจต้องขอเป็น “คนกลุ่มสุดท้าย” ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนฯในรอบนี้!
ระหว่างที่หลายคนกำลังเฝ้ารอ “วัคซีนโควิด-19” ทั้งกลุ่มมีที่มาของการนำเข้าจากต่างประเทศ และกลุ่มที่ร่วมกับต่างชาติผลิตขึ้นในประเทศไทย
คนส่วนใหญ่ต่างใจจดจ่อรอคอยด้วยความหวัง
อีกหลายคน กลับส่งเสียงก่นด่าอึงมี่…เพราะความล่าช้าของหน่วยงานรัฐ ที่ไม่เร่งรัดนำเข้าวัคซีนฯสำเร็จรูปมาฉีดให้กับคนไทย ในยามที่ต้องผจญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯระลอกใหม่ นับแต่ช่วงปลายปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งพบตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นระดับ…หลักร้อยและเฉียดพัน เฉลี่ยในทุกๆ วัน
ความล่าช้าของทางการไทย กับภารกิจฉีด “วัคซีนโควิด-19” เข็มแรกให้กับคนไทย…สมควรโดนด่าหรือไม่?
แต่หากคนไทยได้รับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง จากคนในแวดวงบุคลากรทางการแพทย์ ระดับ “ผู้บริหาร” แล้ว อาจต้องกลับไปนั่งคิดกันใหม่อีกหลายครั้ง..
ดีหรือเลว? ถูกหรือผิด? กับความล่าช้าในครั้งนี้
จากข้อมูลเชิงลึกระดับ “วงใน” ที่ทีมข่าว “สำนักข่าวเนตรทิพย์” สืบเสาะเจาะลึกจากกลุ่มนายแพทย์ระดับผู้บริหารของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย กระทั่ง ทราบความคิดของคนกลุ่มนี้
“หมอไทย…ขอเป็นคนไทยกลุ่มสุดท้ายที่จะฉีดวัคซีนไวัรัสโควิด-19 ในรอบนี้”
มันเกิดอะไรขึ้น! ทำไมกลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิดฯ มากที่สุด กลับปฏิเสธที่จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19
เรื่องของเรื่อง นั่นเพราะ…วัคซีนที่สถาบันทางการแพทย์ และ/หรือ บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำทั่วโลก ต่างเร่งรัดช่วยกันผลิตออกมาและนำไปฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมายนั้น ยังขาดความสมบูรณ์ในทางการแพทย์ เพราะระยะเวลาของการทดลองมีน้อยกว่าแรงกดดันให้ต้องมีวัคซีนฯเกิดขึ้นในโลก
พูดให้ง่ายก็คือ…วัคซีนไวัรัสโควิด-19 ที่มีในขณะนี้ ผ่านห้องทดลองและการทดสอบมาน้อยกว่ามาตรฐานการสร้างวัคซีนขึ้นใหม่ ซึ่งความเป็นจริงแล้ว...มันควรจะมีเวลาให้ลองผิดลองถูกจนถี่ถ้วน ไร้ผลกระทบเชิงลบ ที่สำคัญ...จะต้องผ่านทดสอบอย่างหนักหน่วงไม่น้อยกว่า 3-5 ปี ตามมาตรฐานสากล
แต่กับวัคซีนไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มใช้กันในปัจจุบันนั้น สถาบันทางการแพทย์ และ/หรือ บริษัทผู้ผลิตยาชั้นนำทั่วโลก ใช้เวลาคิดค้นและทดลอง แบบ “ลองผิดลองถูก” กันจริงๆ แค่เพียงปีเดียว
มันใช้เวลาน้อยมากและเร่งรัดกันมากเกินไป
เอาให้กระจ่างก็คือ…สถานการณ์นี้ คนในแวดวงแพทย์และนักวิจัย ต่างถูกกดดันให้ต้องเร่งทำการผลิตฉีดวัคซีนไวัรัสโควิด-19 เพียงเพื่อจะตอบโจทย์ในทางการเมือง เศรษฐกิจและทางสังคมเท่านั้น
หาได้ตอบโจทย์ในทางการแพทย์และสาธารณสุขสักเท่าใด!
ระหว่างการนำไปฉีด นับแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น…เสมือนอยู่ระหว่างการทดลอง แบบ “ลองผิดลองถูก” ในตัวคนเสียด้วยซ้ำ
จากข้อมูลที่มีการปกปิด โดยเฉพาะการเสียชีวิตของ “กลุ่มผู้สูงอายุ” จากยุโรปตอนเหนือ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสโควิด-19 เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นัยว่า...ภาครัฐหวังจะให้วัคซีนฯ เข้าไปช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ก่อน เพราะจัดเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่หากติดเชื้อไวรัสโควิดฯ เมื่อใด...ตายสถานเดียว
แต่กลายเป็นว่า...ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนฯดังกล่าว กลายเป็นชนวนเร่งความตายให้กับ “กลุ่มผู้สูงอายุ” กลุ่มนี้ไป...
แม้ทางการของนอร์เวย์จะออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยอ้างว่า...การเสียชีวิตของผู้สูงอายุมากกว่า 75 ปีขึ้น ไป รวมกันกว่า 30 ราย หลังได้รับการฉีดวัคซีนฯนั้น เป็นเพราะพวกเขามีอาการเจ็บป่วยหนักอยู่ก่อนแล้ว
“มีความเป็นไปได้ที่ผลข้างเคียงของวัคซีน อาจไปซ้ำเติมทำให้โรคประจำตัวแย่ลง แต่พวกเขาก็คาดหมายไว้อยู่แล้วว่าบรรดาผู้พักอาศัยอยู่ตามบ้านพักคนชรา อาจเสียชีวิตไม่นานหลังได้รับวัคซีน เพราะเหตุเสียชีวิตเกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้วในบรรดาคนไข้ชราภาพที่ป่วยหนักและเปราะบางมากที่สุด”
ข้างต้นคือเหตุผลที่ว่านี้...แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คนทั่วโลก ต่างรู้และเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่า...
ตัวไวรัสโควิด-19 เอง ไม่ได้คร่าชีวิตของผู้คนที่ติดเชื้อโดยตรง แต่เพราะการติดเชื้อจากมัน และเป็นมันที่เข้าไปทำลายระบบภายในต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจ และทำให้คนผู้นั้น ต้องเสียชีวิตลง
คำถามคือ...ถ้าไม่มีเจ้าเชื้อไวรัสโควิด-19 คนเหล่านั้น จะรีบร้อนตายกันไปหรือไม่? คำตอบก็คือ...ไม่อย่างแน่นอน
จะว่าไปแล้ว..."กลุ่มผู้สูงอายุ" จากสแกนดิเนเวียทั้งกว่า 30 คนที่เสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีนไวรัสโควิดฯ ไปแล้ว ไม่มีใครติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สักคนเดียว
การอาสารับการฉีดวัคซีนฯ ในครั้งนั้น เพราะพวกเขาและลูกหลาน ต่างกังวลใจว่า...ผู้สูงอายุอาจเสี่ยงจะติดเชื้อไวรัสโควิดฯ จึงต้องฉีดวัคซีนฯ ป้องกันเอาไว้ก่อน
กลายเป็นส่งพวกเขาไปหาความตาย...
ทั้งหมด ตอบโจทย์ข้างต้นที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” อ้างความคิดของกลุ่มนายแพทย์ระดับผู้บริหารของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ที่ปฏิเสธจะขอรับการฉีดวัคซีนไวรัสโควิดฯ หรือหากจำเป็นจะต้องฉีดฯ ก็ขอเป็น “คนกลุ่มสุดท้าย” ที่จะฉีดวัคซีนฯ
ทั้งที่พวกเขา คือ กลุ่มคนต้นๆ ที่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้การนำของ “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เลือกให้เป็นกลุ่มคนต้นๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของวัคซีนฯ ไม่ว่าจะสั่งนำเข้ามา หรือผลิตขึ้นในประเทศก็ตาม
นายแพทย์ท่านหนึ่ง บอกกับ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ว่า...ไม่ใช่วัคซีนเหล่านั้น ไม่ดีหรือไม่มีคุณภาพ เพียงแต่ว่า...ผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้น ภายหลังการฉีดเข้าไปแล้ว บอกไม่ได้ว่าจะเป็นเช่นใด? เนื่องจากความเสถียรของวัคซีน ที่เร่งรัดผลิตกันขึ้นมานั้น ยังมีน้อยมาก
ทางออกของปัญหานี้...ในระหว่างที่ประเทศไทยยังไม่มีวัคซีน หรือมีแล้ว...แต่คนส่วนใหญ่ยังรู้สึกหวั่นกลัวกับผลกระทบข้างเคียงที่เกิดขึ้น ก็คือ...การดูแลตัวเอง ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุข วางไว้ก่อนหน้านี้
นั่นคือ...การรักษาระยะห่าง ใช้ช้อนกลาง กินของร้อน ล้างมือทุกครั้ง และใส่แมสก์ ตลอดเวลา
พฤติกรรมเหล่านี้...ดีกว่าการฉีดวัคซีนฯ เป็นไหนๆ !!!