กทม.-BT แนะคมนาคมปัดกวาดบ้านตนเอง หลังออกแถลงสื่อยึดหลัก กม.-ผลประโยชน์ประชาชนขวางลำต่อขยายสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียวให้ BTS ถามกลับเหตุใดถึงปล่อย รฟม.ลากโครงการรถไฟฟ้า สายสีส้มเข้ารกเข้าพง แหก กม.จนงานงอกถูกฟ้องงอมพระรามได้ แนะกลับไปปัดกวาดบ้านตนเองลากเข้าคอกข้อตกลงคุณธรรมตามมติ ครม. ให้เรียบร้อย ก่อนสอดมือเป็นไอ้เข้ขวางคลองลากโครงการอื่นพังพาบไปด้วย
จ่อระอุแดดเป็นปรอทแตกขึ้นมาอีกครั้ง กับเรื่องของสัมปทานรถไฟฟ้า สายสีเขียว ที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) และกระทรวงมหาดไทย ตั้งแท่นนำเสนอแนวทางสางปัญหาต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ต่อขยายสัมปทาน 30 ปีให้แก่ บมจ.บีทีเอส (BTS) เพื่อแลกกับหนี้ค้างร่วมแสนล้านที่ กทม.ไม่สามารถจะแบกรับภาระเองได้ แต่แนวทางดังกล่าวต้องค้างเติ่งคาราคาซังมากว่าขวบปี เพราะถูกกระทรวงคมนาคมตั้งแง่คัดง้าง โดยอ้างว่า อัตราค่าโดยสารที่กำหนดเอาไว้ตามร่างสัญญาใหม่ที่ 65 บาทตลอดสายนั้นสูงเกินไป ส่งผลกระทบต่อประชาชนคนกรุงผู้ใช้บริการ พร้อมตั้งคำถามถึงความถูกต้องตามครรลองแห่งกฏหมาย และวินัยการเงินการคลัง
ล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.กระทรวงคมนาคม ยังคงให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงเรื่องดังกล่าว หลังมีข่าวว่านายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ส่งเรื่องให้กระทรวงคมนาคมเร่งพิจารณาร่วมกับ กทม. เพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็วนั้นว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า จะมีการหารือระหว่างกระทรวงคมนาคม และกรุงเทพมหานครในเร็วๆ นี้ ซึ่งได้มอบหมายให้ นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม และนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมกับระบุว่า จุดยืนของกระทรวงคมนาคมนั้น ยังคงยืนยันว่า ต้องทำแล้วถูกกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
ส่วนกำหนดการหารือจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คงต้องรอข้อมูลข้อทักท้วง 4 ข้อที่กระทรวงคมนาคมจตั้งข้อสังเกตไปก่อนหน้าส่งมาถึงกระทรวงก่อน เมื่อได้รับข้อมูลแล้วจะรีบดำเนินการหารือร่วมกันต่อไป แต่เชื่อว่า ถ้ายึดระเบียบกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงใน บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด วิสาหกิจของ กทม.ที่ทำหน้าที่บริหารส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า สายสีเขียว ได้เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า น่าแปลกใจที่กระทรวงคมนาคมยืนยันว่า ยึดหลักกฏหมาย และมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) เป็นหลักในการพิจารณา เพราะหากกระทรวงคมนาคมยืนยันว่า ยึดหลักกฏหมายและมติ ครม. เป็นหลักในการดำเนินโครงการแล้ว เหตุใดในส่วนของการประมูลหาเอกชนเข้าร่วมลงทุน (PPP) ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) เงินลงทุน 1.427 แสนล้านบาท ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคมถึงปล่อยให้ รฟม. แหกกฎบัตรกฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่วางไว้ จนทำเอาเส้นทางการประมูลโครงการต้องล้มลุกคลุกคลานมากว่าขวบปี
"ท่านรัฐมนตรีคมนาคมจะกล้าการันตีหรือว่า สิ่งที่ฝ่ายบริหาร รฟม.และคณะกรรมการคัดเลือกดำเนินการไปก่อนหน้า ทั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกที่ไม่เป็นไปตามเอกสารประกวดราคา (RFP) จนถูกบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลฟ้องจนงานงอก ส่งผลให้โครงการสะดุดและล่าช้านั้น ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของกฏหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่วางไว้"
แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า การที่บริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลร้องแรกแหกกระเชอไปทั่วสิบทิศ ถึงการประมูลที่ไม่โปร่งใส และถึงขั้นยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง จนกระทั่งศาลมีคำสั่งคุ้มครองขั่วคราว และสั่งให้ รฟม.ชะลอการนำเอาหลักเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกเจ้าปัญหามาบังคับใช้ แต่ รฟม.ก็ยังคงดั้นเมฆจะเดินหน้าจัดประมูลต่อไป จนกระท่ังถูกฟ้องต่อศาลทุจริตและประพฤติมิชอบอีกคดี และยังถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีมติให้ส่งรายงานผลการสอบสวนโครงการนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อดำเนินการไต่สวนเอาผิดผู้บริหาร รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกกราวรูดนั้น สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนให้เห็นว่า มีการดำเนินการที่ขัดบทบัญญัติแห่งกฏหมาย และ มติ ครม.อีกหรือ
สิ่งที่ฝ่ายบริหาร รฟม. ดำเนินการไปโดยที่กระทรวงคมนาคมต้นสังกัดไม่ได้มีการท้วงติง หรือระงับดำเนินการใดๆ จนกระทั่งทำให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มเผชิญทางตันอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้ประเทศชาติต้องเสียหาย ประชาชนผู้ใช้บริการต้องสูญเสียโอกาสในการใช้บริการรถไฟฟ้าไปนับปีนั้น ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงคมนาคมไม่ได้ใช้อำนาจสั่งการหรือระงับยับยั้ง เพื่อไม่ทำให้เกิดความเสียหายแม้แต่น้อย
"แทนที่กระทรวงคมนาคมจะเอาเวลาและสรรพกำลังที่มีไปทุ่มเทให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ติดหล่มจ่อจะต้องไปประมูลกันเอาชาติหน้า หรือไปเร่งผ่าทางตันค่าโง่โฮปเวลล์ มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้าน ที่กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ ร่วมกันสร้างขึ้นมา จากการบอกเลิกสัญญาสัมปทานที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย และสัญญาสัมปทานจนถูกศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้จ่ายชดเชยความเสียหายแก่คู่สัญญาเอกชนโดยที่ยังจับมือใครดมไม่ได้ ทั้งยังหาทางออกไม่ได้ว่าจะจัดการกับค่าโง่นับหมื่นล้านบาทนี้อย่างไร จึงจะไม่ทำให้ตัวเองถูกลากลงไปเสียค่าโง่เสียเองนั้น แต่กรมขนส่งทางรางและกระทรวงคมนาคมกับมุ่งมั่นมาคัดง้างและขัดขวางแนวทางการผ่าทางตันโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม. ที่หาได้อยู่ในความรับผิดชอบของตนเอง จนทำให้โครงการต้องพลอยหยุดชะงักชะงัก ทำให้ กทม .ต้องเผชิญทางตันไปด้วย"
แหล่งข่าวยังเผยด้วยว่า ล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบให้ทุกโครงการจัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานรัฐ รวมไปถึงโครงการที่ต้องร่วมลงทุนกับเอกชนตามกฏหมายอื่น ต้องทำข้อตกลงคุณธรรม เพื่อให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบป้องกันการทุจริต และเพื่อสร้างความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ
“โครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยายนั้น ถือเป็นโตรงการแรกที่ถูก คสช. กำหนดให้ต้องดำเนินการลงนามในข้อตกลงคุณธรรมมาตั้งแต่แรก เราจึงไม่มีปัญหา แต่ในส่วนของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น หากกระทรวงคมนาคมยืนยันว่ายึดมั่นในหลักกฏหมาย และมติ ครม. ก็ต้องจับเอาโครงการนี้เข้าเซ็นสัญญาข้อตกลงคุณธรรม เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันตรวจสอบกระบวนการคัดเลือกด้วย"
ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้ที่นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะได้ลงมาผ่าทางตันโครงการนี้ให้สะเด็ดน้ำเสียที ก่อนที่จะทำให้โครงการดีๆ ต้องลงเอยด้วยค่าโง่ไปอีกโครงการ!