จับตา “ดีลลับ” ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพลังประชารัฐ ผนึกกำลังจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง เปิดทางให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผงาดนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 หวังกรุยทางให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับประเทศไทย เพื่อใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบกับครอบครัว “ดีลลับ” ที่ว่านี้ ข้อเท็จจริงอย่างไร? เป็นเรื่องสำคัญที่หลายฝ่ายกำลังติดตามค้นหา..
ท่ามกลางการแข่งขันทางการเมืองในโค้งสุดท้าย ที่ทุกพรรค ทุกฝ่าย ต่างงัดกลยุทธ์ มาช่วงชิงคะแนนนิยม ทุกเวทีดีเบต ที่สื่อหลายสำนัก เชิญแกนนำแต่ละพรรคมาประชันฝีปาก ปะทะคารม เรียกความสนใจ นโยบายอันหลากหลายที่แต่ละคนแต่ละพรรคชูขึ้นมา ขายความจริงหรือขายฝัน ต่างและล้วนคาดหวังให้ประชาชนที่เป็นฐานเสียง ตัดสินใจกากบาทหย่อนบัตรให้ได้คะแนนมากที่สุด หวังเดินหน้าเข้าสภาฯ รวบรวมคะแนนเสียง เพื่อจัดตั้งรัฐบาล!
นั่นคือ เป้าหมายประการสุดท้ายของการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย แต่ก่อนจะถึงเป้าหมายนั้น กลับมีกระแสข่าวการผนึกกำลังจับขั้วตั้งรัฐบาลกันเกิดขึ้นแล้ว แม้หลายๆ ฝ่าย จะยืนยันหนักแน่นว่า ต้องดูจำนวน ส.ส.ของแต่ละพรรคที่จะเกิดขึ้น หลังเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ค.นี้ เป็นหลักแล้วก็ตาม
จึงเป็นที่มาของ “ดีลลับ” ที่เกิดขึ้น และลอยมาตามลมโชยผ่านเข้าไปในพรรคการเมืองขนาดใหญ่ และขนาดกกลาง ๆ หลาย แห่ง !
กระแสข่าว "บิ๊กป้อม " พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางไปต่างประเทศเพื่อพบ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อเจรจาจับมือกับพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาล โดยโดดเดี่ยวพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เป็นฝ่ายค้าน หรือไล่ "ลุงตู่" กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน
หรือกระแสข่าว ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาที่สิงคโปร์ และมีสมาชิกเพื่อไทย นำ ส.ส.หลายพรรคการเมือง เดินทางไปพบเพื่อหารือแนวทางรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
นั่นเพราะเมื่อทุกพรรคการเมือง ต่างมีเป้าหมายอยู่ที่ “ชัยชนะ” แต่ย่อมไม่ได้หมายความลึกลงไปแล้ว “นักการเมือง” จะไม่มีการพูดคุยกัน ตรงกันข้ามโอกาสเกิด “ดีลลับ ดีลกันบนโต๊ะ” มีขึ้นได้ทุกเมื่อ !
พรรคเพื่อไทย ประกาศชูธงชนะให้ถล่มทลาย ถึงขั้นแลนด์สไลด์ กวาด ส.ส.เข้าสภาผู้แทนราษฎร ให้ได้มากที่สุด เดิมที่ตั้งไว้ถึง 310 ที่นั่ง เพื่อเอาชนะ ส.ว.250 เสียงให้ได้ อย่างไรก็ตาม เป้าหมายตัวเลขสูงมากอย่างนั้น จนทำให้บัดนี้พรรคเพื่อไทย ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึง “ความเป็นไปได้” จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ ?
และยังน่าสนใจว่า พรรคเพื่อไทยยังอยู่ในอาการฮึกเหิม ถึงขนาดที่ส่งสัญญาณตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่หวังจับมือกับใคร แม้แต่พรรคการเมือง ซีกเสรีประชาธิปไตย ที่เคยร่วมเป็น “ฝ่ายค้าน” ด้วยกันมานานถึง 4ปี ทั้ง พรรคก้าวไกล หรือเสรีรวมไทย
เมื่อพรรคเพื่อไทยประกาศปักธงแลนด์สไลด์ แต่ในสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงภายในพรรคเอง อาจไม่ใช่ “คำตอบ” ให้สมาชิกมั่นใจได้ว่า เพื่อไทยจะสามารถพลิกขั้ว เปลี่ยนสถานะทางการเมืองไปเป็น “รัฐบาล” เดินเข้าทำเนียบรัฐบาล ด้วยแผนการเล่นเพียงด้านเดียวจากสนามเลือกตั้ง
วันนี้ปัญหาของพรรคเพื่อไทย คือ กำลัง “ติดบ่วง” จาก “ไมตรี” ที่ทอดมาจาก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ประกาศชูนโยบาย “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” หวังสร้างความปรองดองกับทุกฝ่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม้ พล.อ.ประวิตร จะไม่เคยประกาศตัวเป็น “โซ่ข้อกลาง” เช่นเดียวกับที่ “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ได้เคยปวารณาตัวมาก่อนในอดีต แต่น่าจะเป็นที่รับรู้ของนักการเมืองจากทุกขั้วว่า บิ๊กป้อม เปิดรับและพร้อมจะจับมือกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายประชาธิปไตย
แน่นอนว่า ไมตรีจาก พล.อ.ประวิตร ทั้งจากที่เจ้าตัวเปิดเผยกับสื่อ ไปจนถึงการถอดรหัสจาก “จดหมายเปิดใจ” ที่บิ๊กป้อม เขียนขึ้นมารวมถึง 10 ฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุด ที่ประกาศว่า การจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้า !!!
นั่นหมายความว่า ย่อมต้องการส่งสัญญาณไปยัง “ทุกพรรค” แต่น่าสนใจว่าไมตรีครั้งนี้ กำลังทำให้พรรคเพื่อไทย ไปจนถึงตัว “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะผู้มีบทบาทของพรรคเพื่อไทย ถูก “พรรคฝ่ายค้าน” ด้วยกันเอง ตั้งคำถามกดดันอย่างต่อเนื่อง ถึงข่าวลือที่ว่าด้วย “ดีลลับ” การจับมือตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ โดยที่พรรคเพื่อไทย ยอมเปิดทางให้ “บิ๊กป้อม” นั่งเก้าอี้ “นายกฯ คนที่ 30” !
ด้วยเหตุผลสำคัญ เพราะ “บิ๊กป้อม” คือตัวจริงที่เป็นผู้คุมเสียง ส.ว.250 เสียง
แม้ว่า ทั้ง "อุ๊งอิ๊ง" แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และ เศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย จะประสานเสียงว่า จะไม่จัดตั้งรัฐบาลกับ "สองลุง" ก็ตาม แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป อะไรก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะล่าสุด กรณีที่วันนี้ พรรคเพื่อไทย ถูกร้องเรียนจำนวนมาก กว่า 30 เรื่อง ในช่วงที่ตระเวนหาเสียงที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ "อุ๊งอิ๊ง" ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย เดินทางไปพบ "ทักษิณ" และมีการภาพแพร่ผ่านสื่อโซเชียลจำนวนมาก
กลายเป็นประเด็นร้อน ที่ กกต. จ้องสอบสวนเอาผิด แม้ว่า เจ้าตัว คือ "อุ๊งอิ๊ง" จะระบุว่า "การไปหาพ่อ" มีความผิดด้วยหรือ? แต่กรณีนี้ กกต. มองว่า ถ้าไปในฐานะลูกสาวไม่ผิด แต่เมื่อมีตำแหน่งเป็น "แคนดิเดตนายกฯ" นั้น มันกระทำไม่ได้ ซึ่งต้องรอดูว่า หลังจากนี้ กกต.จะวินิจฉัยอย่างไร ?
กลับมาติดตามท่าทีของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ อย่างพรรคก้าวไกล ต่อกรณี "ดีลลับ" ที่กำลังส่อเค้ามีความเป็นจริงมากขึ้นนั้น ความสงสัย ความข้องใจของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะ “พรรคก้าวไกล” ที่มีต่อท่าทีของพรรคเพื่อไทย อาจแปรเปลี่ยนและกลายเป็นความระแวงแคลงใจกันเอง จนมีแนวโน้มว่าจะไปส่งผลต่อการจับมือกันตั้งรัฐบาล หลังเลือกตั้ง หากที่สุดแล้วพรรคเพื่อไทยเดินไปไม่ถึงแลนด์สไลด์
แม้ ทักษิณ จะพูดในคลับเฮาส์ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ที่ผ่านมา ย้ำว่า คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา จะรู้จักกับ พล.อ.ประวิตร และน้องชายของบิ๊กป้อม คือ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็ตาม แต่การที่พรรคเพื่อไทยจะไปจับมือกับพรรคพลังประชารัฐนั้น เป็นเรื่องยากที่ใครจะไปนั่งคุยกัน
“ถามว่าคุณหญิงกับป้อมรู้จักกันดีไหม ก็รู้จัก แต่ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้น ส่วนกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ก็รู้จักกัน แต่ไม่สนิท ขนาดมาชี้นำการเมือง คุณหญิงไม่ยุ่งการเมือง ยุ่งแต่เรื่องสังคม ที่ไปมาหาสู่ ไม่บอกชี้นำการเมือง”
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า “คำตอบ” ของทักษิณ ไม่ได้มีความเด็ดขาด และชัดเจนมากพอที่จะชี้ว่า หลังเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย กับพรรคพลังประชารัฐ จะหันหลังให้กัน ต่างคนต่างไป ยิ่งเมื่อลงลึกเข้าไปในการต่อสู้ระดับ “ภาคสนาม” จะพบ “ความไม่ปกติ” เพราะมีรายการ “หลีกทาง” ให้กัน ในบางเขตเลือกตั้ง ระหว่างคนของพรรคเพื่อไทยกับพรรคพลังประชารัฐ คล้ายเป็น “สัญญาใจ” ต่อกัน
มีรายงานว่าการจัดวางตัวผู้สมัครเขตเลือกตั้งใน จ.พะเยา อาจทำให้พรรคเพื่อไทย ต้องเสียที่นั่งให้กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ส่ง “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรค มือทำงานที่บิ๊กป้อมไว้ใจ ลงมาคุมภาคเหนือ
เนื่องจากเดิม ใน จ.พะเยา นั้นเป็น “จุดแข็ง” เป็นฐานหลักของทุกพรรคการเมือง ทุกเจนเนอเรชั่น ทั้งพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย และกลุ่มงานบริหารพื้นที่ภาคเหนือ คุมพื้นที่ แต่รอบนี้มีรายงานมาตั้งแต่ต้นปีว่า วิสุทธ์ อาจจะไม่ลง ส.ส.พะเยา จะถูกวางตัวไปลงปาร์ตี้ลิสต์แทน
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส จะส่ง “ตัวแข็ง” ในนามพรรคพลังประชารัฐ ลง ส.ส.พะเยา และมีความเป็นไปได้ว่า รอบนี้พรรคพลังประชารัฐ ของบิ๊กป้อม จะ “กินเรียบ” ทุกเขตที่พะเยาด้วยซ้ำ แม้พรรคเพื่อไทยจะส่งผู้สมัครลงครบทุกเขต ก็ตามที
นอกจากนี้ ยังว่ากันว่า มีการหลบและหลีกทางให้กันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ด้วยกันอีกหลายเขต รวมถึงในกทม.อีกด้วย
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พรรคเพื่อไทยเองได้มีการทำโพลเพื่อเช็คคะแนนแล้วพบว่า ตัวเลข ส.ส.ที่จะได้นั้นไม่ถึง 310 ที่นั่งตามที่ประกาศเอาไว้ แต่ได้เพียง 170 ที่นั่งเท่านั้น !
หมายความว่า พรรคเพื่อไทยรู้อยู่แล้วว่า โอกาสที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวนั้นจะไม่เกิดขึ้นได้
เว้นแต่จะต้องอาศัย “ออปชั่นพิเศษ” ซึ่งอาจไม่ใช่ “พรรคก้าวไกล” ที่ชูประเด็นแรง โดยเฉพาะการแก้ไข มาตรา 112 จนสุ่มเสี่ยงที่จะพากันเข้าสู่ “คิลลิ่งโซน” ตายหมู่พร้อมกันหมด
การเป็น “ฝ่ายค้าน” สำหรับ “พรรคเพื่อไทย” 4 ปีที่ผ่านมา อาจเนิ่นนาน แต่สำหรับอดีตนายกฯ ทักษิณ แล้วอย่าลืมว่าตัวเขาเองรอคอยโอกาสที่จะได้กลับบ้านและผลักดันให้พรรคเพื่อไทย ได้เข้าไปเป็นรัฐบาล ร่วมขบวนรถไฟสายแห่งอำนาจ ครั้นจะให้ “ดีล” กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ดูจะเป็นเรื่องที่ “แทบเป็นไปไม่ได้”
ที่สำคัญถึงขนาดที่ประกาศจะยอมมารับโทษติดคุก เพื่อหวังจะได้อยู่กับครอบครัวเลี้ยงหลานในบั้นปลายชีวิต เป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร แต่จนถึงวันนี้ ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ดังนั้น ความหวังของทักษิณที่จะได้กลับบ้าน จึงต้องรอหลังการเลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทย ได้เป็นรัฐบาลเท่านั้น
ดังนั้น ไม่ว่า ทักษิณ ชินวัตร หรือแกนนำพรรคเพื่อไทย จะพากันออกมาปฏิเสธ ประเด็น “ดีลลับ” กับพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจเป็นเรื่อง “หน้าฉาก” เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งการเปลี่ยนกติกาเลือกตั้ง เป็น “บัตร 2 ใบ” และใช้สูตร “หาร 100” จนมาถึง ไมตรีจาก “บิ๊กป้อม” ล้วนแล้วแต่เป็นการตอกย้ำ “ดีลลับ” ทั้งสิ้น