จู่ๆ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ส่งหนังสือแจ้งทุกพรรคการเมืองให้เตรียมพร้อมส่งผู้สมัคร ส.ส.ลงเลือกตั้งครั้งหน้านัยว่า หากส่ง ส.ส.ในเขตใด ต้องมีสาขาพรรคในเขตนั้น ต้องมีสมาชิกในภูมิลำเนา 500 คนขึ้นไป และสามารถสรรหาผู้สมัครล่วงหน้าก่อนวันประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งได้ ไม่เช่นนั้นอาจส่งผู้สมัครไม่ทันข่าวนี้มาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับหลายพรรคการเมือง พร้อมใจกันประกาศดันหัวหน้าพรรคของตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนกับได้ “กลิ่น” อะไรบางอย่างลอยออกมา!ไม่ว่าจะพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันจะส่งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เข้าชิงเก้าอี้นายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็ยังหนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ พร้อมทั้งประกาศด้วยว่าเลือกตั้งเที่ยวหน้าจะกวาด ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 80-100 คนทางด้านพรรคก้าวไกล แน่นอนว่าจะส่ง ส.ส.หนุ่มรุ่นใหม่ อย่างนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ลงชิงชัยเก้าอี้นายกฯ ในการเลือกครั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้นายพิธาเริ่มเดินสายไปหลายจังหวัดในภาคอีสานหรือแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งดูเหมือนภายในพรรคจะมีรอยปริร้าว หลังจากมีการปลด “ธรรมนัส-นฤมล” ออกมาจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ แต่ยังมีรัฐมนตรีบางคนหลุดปากว่า พรรคยังเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ในครั้งต่อไปอีกเหลือแต่พรรคเพื่อไทย ซึ่งยังไม่ยอมปริปากว่าจะส่งใครมาเป็น “แคนดิเดต” นายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะแกนนำพรรคยังปิดปากเงียบ แล้วบอกเพียงสั้นๆ ว่า “รอให้ถึงช่วงเวลาใกล้ๆ ก่อน เดี๋ยวก็รู้ แต่ยืนยันว่ามีคนเหมาะสมแล้ว”ทำให้คอการเมืองคาดเดากันไปต่างๆนานา ว่าจะเป็น “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช หรือเปล่า? หรือว่าจะเป็นนายศุภวุฒิ สายเชื้อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล บ้างก็ว่านายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคด้านเศรษฐกิจแต่ ณ เวลานี้ยังไม่มีคำตอบออกมา ว่าใครจะเป็น “แคนดิเดต” ของพรรคเพื่อไทยกันแน่!แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยกำลังจัดการกับ ส.ส. “งูเห่า” ภายในพรรค ไปพร้อมกับการจัดตัวผู้สมัคร ส.ส. ลงสู้ศึกเลือกตั้งในแต่ละเขต ซึ่งทางพรรคกำลังสแกนตัวบุคคลอย่างหนัก ขนาดเป็น ส.ส.อยู่แล้ว แต่มีพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง จะไม่ส่งลงสมัคร ส.ส.เที่ยวหน้า ในหลายจังหวัดแต่ดูเหมือนว่า จะมีการเลือกตั้งในช่วงเวลาอันใกล้แน่นอน เมื่อ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ออกมาย้ำหัวตะปูว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีเวลาถือร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข (ให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ) ได้แค่ 20 วัน นับตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 64 หลังจากร่างฯ ดังกล่าวผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาไปแล้วดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ภายใน 20 วัน เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ โดยไม่มีช่องทางใดให้อำนาจนายกฯ ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความได้อีกทางเลือกของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีแค่ 2 ทาง คือ..“ยุบสภา” หรือ “นำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ”เสือออนไลน์