หลายสำนักวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึง สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากต่างประเทศ ต่างวิเคราะห์ไปในทิศทางเดียวกันถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2565 ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า 2566 ทุกอย่างล้วนเป็นภาพสวย..
จีดีพี ณ สิ้นปี 2565 จะน่าเติบโตเฉลี่ยที่ระดับ 2-3% ขณะที่ จีดีพีปี 2566 คาดว่า จะโตเฉลี่ยในระดับที่สูงกว่า ไปอยู่ที่ 3-5% โดยมีผลพวงจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แห่แหนเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตลอดทั้งปี 2565 มียอดรวมกันน่าจะเกินเป้าหมายที่ 10 ล้านคน ส่งผลต่อไปยังธุรกิจภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและที่พักอาศัย รวมถึงธุรกิจร้านอาหาร ทั้งในระดับภัตตาคารเลิศหรู จนถึงร้านอาหารข้างทาง ที่ต่างชาติรู้จักกันดีในชื่อ Street Food ต่างเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลักกันเลยทีเดียว
หากโลก รวมถึงประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และประเทศไทย ไม่เจอมรสุมของวิกฤตไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ระบาดเข้าขั้นรุนแรง ล่ะก็ เชื่อว่า...ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดทั้งปี 2566 ก็น่าจะทะยานเกินกว่าปี 2565 ที่มาเติบโตเอาในช่วงครึ่งปีหลัง จากการที่ไวรัสโควิดฯ เริ่มลดความรุนแรง ผสานกับการที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลอีกหลายๆ ประเทศ ผ่อนคลายการคุมเข้มและปล่อยผ่านให้นักท่องเที่ยวของตัวเอง เดินทางออกนอกประเทศ
ปี 2565...นักท่องเที่ยวต่างชาติ น่าจะเกิน 10 ล้านคน
ปี 2566...เราอาจได้เห็นจำนวนตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แตะที่ระดับ 12-15 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ นั่นก็หมายความว่ารายได้จากภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย ก็น่าจะมีเพียงพอที่ใช้เป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจในการขับเคลื่อนจีดีพีของประเทศไทย
ฟังน้ำเสียงของ “โฆษกกระทรวงการคลัง” นายพรชัย ฐีระเวช ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่แถลงข่าวเมื่อไม่กี่วันก่อน ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2565 ซึ่งถือเป็น...เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 ก็ตรงกับที่หลายฝ่ายวิเคราะห์เอาไว้
นั่นคือ....เศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม 2565 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อน อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกและทิศทางการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด
หากมองลงลึกในรายละเอียดจะเห็นได้ชัด!
ภาคบริการด้านการท่องเที่ยว เฉพาะเดือนตุลาคม 2565 พบว่า...มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม จำนวน 1.48 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 7,178.2 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -11.2
โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจาก...มาเลเซีย อินเดีย ลาว เกาหลีใต้ และเวียดนาม ตามลำดับ เช่นเดียวกับ....การท่องเที่ยวภายในประเทศที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ในเดือนตุลาคม 2565 จำนวน 17.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 285.0 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาลที่ร้อยละ -18.8
เศรษฐกิจไทยยามนี้...อาศัยรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก
ประเทศไทยและรัฐบาลไทยโชคดี ที่เรามี “แต้มต่อ” มากมาย...ทั้งจาก สิ่งที่ธรรมชาติได้รังสรรค์เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น...ภูเขา น้ำตก ทะเล ชายหาด แสงแดด ฯลฯ รวมถึงสิ่งที่ บรรพบุรุษได้ส่งต่อกันมานับร้อยนับพันปี เช่น... อาหารการกิน ศิลปวัฒนธรรม สิ่งปลูกสร้างทางศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ หล่อหลอมเข้ากับพฤติกรรมและการแสดงออกของคนไทย ที่พึงมี “น้ำใจงาม” ให้กับชาวต่างชาติ
กลายเป็น “จุดเด่น” และ “จุดแข็ง” ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ทะลักเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย มากมายชนิด...ทำนบแตก! ดังที่ปรากฏให้เห็นเป็นภาพบรรยากาศภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ตลอดช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา
ยิ่งหลายสิ่งที่เป็น “ซอฟท์เพาเวอร์” ของไทย ไม่ว่าจะเป็น...อาหารไทย มวยไทย เพลง/ภาพยนตร์/ละครไทย ฯลฯ ที่ฮิตติดปาก...ติดหู...ติดตา และตรึงใจ ของบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย
ยิ่งทำให้ประเทศไทย กลายเป็นเป้าหมายปลายทางสุดท้ายของการท่องเที่ยวนอกประเทศของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้
ประเทศไทยและรัฐบาลไทยโชคดี...ที่ในทุกภาคของประเทศ ต่างมีกิจกรรมสันทนาการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีงาม...ที่ได้จัดกันเป็นประจำและมีให้เห็นตลอดทั้งปี
กลายเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์กันของบรรดา “ยูทูบเบอร์” หลายชาติหลากภาษา ที่แห่แหนมาถ่ายทำคลิปโปรโมทการท่องเที่ยวของไทย โดยที่รัฐบาลไทย แทบไม่ต้องควักเงินจ่ายให้คนกลุ่มนี้แต่อย่างใด?
ถึงบรรทัดนี้...อยากให้รัฐบาลไทย มองภาพย้อนหลังไปเมื่อ 3 ปีก่อนหน้านี้ ช่วงที่ไวรัสโควิดฯ เริ่มแพร่ระบาดกันใหม่ๆ ธุรกิจในภาคบริการและการท่องเที่ยวของไทย ซบเซาถึงขั้นปิดตัวและเลิกกิจการกันไปเลยทีเดียว
ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอนอย่างที่สุด! นั่นหมายความว่า...ภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่แห่ทะลักเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ณ วันนี้ หากต้องพบเจอกับวิกฤตไวรัสโควิดฯ สายพันธุ์ใหม่ๆ ที่รุนแรงและอันตราย รวมถึงแพร่กระจายได้รุนแรงยิ่งกว่า และโรคติดต่อร้ายแรงอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาแล้ว
รัฐบาลไทยจะมีมาตรการในการป้องกันและรับมือกันอย่างไร? ถึงจะกระทบต่อภาคบริการและการท่องเที่ยว ที่ยามนี้...ถูกจัดชั้นให้เป็น “พระเอก” คนสำคัญ น้อยที่สุด!!! หลังจาก...ตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ต่างพากันชะลอและหดตัวลดลง ไม่ว่าจะเป็น...การลงทุนตรงจากต่างประเทศ การส่งออก
ลำพังการลงทุนภาครัฐ ในภาวะที่หนี้สาธารณะใกล้ติดเพดาน 70% ของจีดีพี ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย พอจะใช้เป็น “หัวจักร” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
แม้ว่า...รายได้จากการท่องเที่ยวจะเริ่มดีขึ้นมาบ้าง ซึ่ง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการฯ เชื่อว่าจะสร้างรายได้ทั้งปีเฉียดๆ 7 แสนล้านบาท แต่นั่น...ก็ยังไม่มากพอจะเข้ามาทำหน้าที่ชดเชยกับภาระรายจ่าย (ดอกเบี้ยจากหนี้สินของรัฐบาลมากกว่า 10 ล้านล้านบาท) และการลงทุนของรัฐบาล
ถึงตรงนี้...คนไทย และภาคธุรกิจของไทย ยังพอจะคาดหวังอะไรจากรัฐบาล ที่ดูเหมือนหาเงินไม่ค่อยเก่งได้บ้าง?
หากรัฐบาลชุดปัจจุบัน คิดจะ “รีดเลือดจากปู” โดยการปรับขึ้นสารพัดภาษี ไม่ว่าจะเป็น...ภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (จัดเก็บไปแล้ว และอาจต้องปรับเพิ่ม) ภาษีน้ำมัน ภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ฯลฯ โดยเฉพาะภาษีที่ “กินง่ายและคล่อง” มากที่สุด นั่นคือ....ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
รวมถึงยืนยันจะเปิดให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินในประเทศไทย ได้คนละ 1 ไร่ เพียงแค่ลงทุนซื้อพันธบัตรของรัฐบาลแค่ 40 ล้านบาท นาน 3 ปี ล่ะก็ โอกาสที่มีจะพลิกฝันเป็นวิกฤตในทันที!
เอาเป็นว่า...ยามนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบัน พักเรื่องภาษีและขายที่ดินให้ต่างชาติเอาไว้ก่อน รอให้มีรัฐบาลชุดใหม่ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศในช่วงกลายปีหน้า ค่อยมาว่ากันใหม่...จะเอากันอย่างไร? กับความผิดพลาดตลอด 8 ปีเศษของรัฐบาล ภายใต้นายกฯคนเดียวกันนี้
แล้วหันมาทุ่มสรรพกำลังในการปกป้องธุรกิจในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ให้ปลอดภัยจากวิกฤตไวรัสโควิดฯและโรคติดต่อร้ายแรงอุบัติใหม่อื่นๆ ที่อาจจะมีตามมา
เวลาที่เหลือน้อย...อย่าได้คิดการณ์ใหญ่เกินระดับเซลล์สมองของตัวเอง!!!