“พลังรัฐจีน” ส่งผ่านอำนาจแฝง ถึง ตำรวจไทยและองค์กรสื่อไทย ด้วยหวังสยบคำแสลงหู “ทุนจีนสีเทา” และบีบให้สื่อและสังคมไทย หันเปลี่ยนไปใช้คำว่า “ทุนต่างชาติสีเทา” แทน
ปฏิบัติการ กระชากหน้ากาก “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ซึ่งประกาศลบทิ้งภาพความเป็นนักการเมือง แล้วผันตัวเองไปเป็น “จอม (ภาคประชาชน) แฉสะท้านโลก” ได้ลากเอา...บิ๊กวงการราชการ จำนวนมาก ติดร่างแหไปกับขบวนการผิดกฎหมายระดับชาติ
และไม่ได้มีเฉพาะ “ตำรวจสีเทา” ในหลายกองบัญชาการ ยาวจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) หากยังลากไปถึง “ปปง.สีหม่น” (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) รวมถึงอีกหลายๆ หน่วยงาน โดยเฉพาะ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งอนุมัติ “สัญชาติไทย” และ “บัตรประชาชนไทย” ให้กับกลุ่ม “ทุนจีนสีเทา”
ทั้งหมดต่างได้รับผลกระทบจากการ “ถูกแฉ” ของนายชูวิทย์ ทั้งสิ้น
ทว่า คำศัพท์บัญญัติใหม่ ที่นายชูวิทย์ได้สร้างขึ้นมา เพื่อใช้อธิบายพฤติกรรมของนักธุรกิจชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง และ/หรือ อยู่เบื้องการทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย นั้น
ไม่เพียงจะบั่นทอนความรู้สึกของ “นักธุรกิจสายเลือดจีน” ที่ถือสัญชาติต่างๆ ทั้งสัญชาติจีนแผ่นดินใหญ่ สัญชาติไทย และอีกหลายสัญชาติจากทั่วทุกมุมโลก กระจายตัวทำธุรกิจอยู่ในประเทศไทย หากยังทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีน กระทั่งถึงขั้นที่มีข่าวลือให้ได้ยินทำนองว่า...
นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย ขอนัดพบพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายชูวิทย์ เป้าหมายก็เพื่อให้หลีกเลี่ยงพฤติการ “ด่ากราด” เหมารวม นักธุรกิจสายเลือดจีน ที่สื่อไทยและสังคมไทย ต่างเรียกขานจนติดปากว่าเป็น “ทุนจีนสีเทา” ไปทั้งหมด
คำที่ ทางการจีน อยากเห็นและอยากได้ยินสื่อไทยและสังคมไทย เรียกคนผิดกฎหมายกลุ่มนี้เสียใหม่นั้น ได้ถูกสะท้อนออกมาจากปากของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ฝากข้อความถึงสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ในไทยเกี่ยวกับการพาดหัวข่าว
“กลุ่มทุนสีเทาจากต่างประเทศ” คือคำที่ “บิ๊กโจ๊ก” พูดถึง และบังเอิญดันไปตรงกับใจของทางการจีนแบบเต็มๆ
“ขณะนี้ผู้อ่านข่าวชาวจีนและชาวจีนโพ้นทะเลมีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับข่าว “การปราบปรามธุรกิจสีเทาจากต่างประเทศ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยก็มิได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด กำลังเร่งดำเนินการต่อผู้กระทำผิด และขอให้ชาวจีนซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ที่อาศัยอยู่ในไทยอย่าได้เป็นกังวล ส่วนตัวผมคิดว่าสื่อเองก็ควรเปลี่ยนหัวข้อการพาดข่าวเป็น “กลุ่มทุนสีเทาจากต่างประเทศ” แทนการใช้คำว่า “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เนื่องจาก “ธุรกิจสีเทา” ที่ทางการไทยกำลังปราบปรามนั้น มิใช่เจาะจงเพียงแค่ชาวจีน แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนจากทั่วโลกที่มาไทยเพื่อทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทางการมิได้มีนโยบายที่จะไล่จับเฉพาะ “ธุรกิจสีเทา” ชาวจีน แต่จะดำเนินการกับคนทุกเชื้อชาติ”
อีกด้านหนึ่ง เสียงสะท้อนในทำนองเดียวกันนี้ สถานทูตจีนในประเทศไทย ยังพูดผ่าน...นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ที่มี นายภูวนารถ ณ สงขลา เป็นนายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน
นายภูวนารถ ชี้ประเด็นให้เห็นว่า หากสื่อไทยและสังคมไทยยังคงใช้คำเรียกขานนี้กันต่อไป อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดต่อคนจีนในภาพรวมได้
“เรื่องนี้มีเพื่อนชาวจีนในไทยหลายคนมีความไม่สบายใจ และหวังให้สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ช่วยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องว่า คนจีนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายเป็นแค่คนส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งก็เป็นธรรมดาของสังคมทุกประเทศ ที่ล้วนมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้น จึงไม่อยากให้เหมารวม อยากให้เรียกเป็นแค่ กลุ่มธุรกิจสีเทา โดยไม่ใส่คำว่า จีนเข้าไป เพราะจริงๆกลุ่มธุรกิจสีเทาที่มาจากต่างประเทศนั้น มีหลายสัญชาติ ไม่ได้มีเฉพาะแค่จีนเท่านั้น” นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ย้ำและว่า
สำหรับความคิด ความรู้สึกดังกล่าวสามารถเข้าใจได้ และรู้สึกเห็นใจในภาพรวมที่เกิดขึ้น ซึ่งทาง เพื่อนชาวจีนได้มีการเขียนบทความสะท้อนความรู้สึกมาให้ โดยมีสาระที่น่าสนใจ และหวังให้มีการช่วยกันเผยแพร่ความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกัน สำหรับ บทความดังกล่าวที่ได้รับมานั้น มีใจความ ดังนี้
จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรที่ดี หุ้นส่วนที่ดีและญาติที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้งและยาวนานนับพันปี ชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนและชาวไทยได้ผสานเชื้อชาติและวัฒนธรรมของตนเข้าด้วยกันผ่านการค้าขาย การแต่งงานฯลฯ
ดั่งเช่นคำกล่าว “ความสัมพันธ์ไทย-จีนฉันท์ครอบครัว” ชาวจีนจำนวนมากชอบมาประเทศไทย เพราะประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา เป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีสถานศึกษาที่ดี นับเป็นดินแดนสวรรค์การลงทุน และปฏิเสธมิได้ว่าจีนกลายเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ “กลุ่มทุนจีนสีเทา” ที่อาจจะนำไปสู่ผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้เริ่มการสืบสวนสอบสวนเพื่อทลายเครือข่าย “กลุ่มธุรกิจสีเทา” หลังจากครบ 1 เดือน ผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญ คือ นายตู้ห่าว นักธุรกิจชาวจีนที่โอนสัญชาติเป็นคนไทย ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เดิมกลุ่มเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยต้องการทลาย คือ กลุ่มมิจฉาชีพ บ่อนพนัน ยาเสพติด และขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งหลบหนีเข้าไทยมาจากกัมพูชา พม่า และลาว กระบวนการเหล่านี้คือ องค์กรอาชญากร อย่างไรก็ตาม การปราบปรามกลุ่มธุรกิจสีเทา ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการลงทุนของจีน
เป็นที่น่าสงสัยว่า แล้ว “กลุ่มธุรกิจสีเทา” เหล่านี้ คือ อะไร... เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีเส้นใหญ่ มีอิทธิพล ใช้เงินใต้โต๊ะ "ธุรกิจสีเทา" คือ การประกอบธุรกิจที่ดูภายนอกถูกกฎหมาย แต่มีสิ่งแอบแฝงที่ไม่ถูกกฎหมาย หรือใช้ช่องว่างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ตน
กล่าวถึงกรณี นายตู้ห่าว ชาวจีน ซึ่งโอนสัญชาติเป็นคนไทย เขาได้กระทำธุรกิจผิดกฎหมาย แต่ประเด็นที่พึงระวังคือ การเรียกขานกลุ่มผู้กระทำผิดพวกนี้ว่า “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เพราะแม้พวกเขาจะเป็นชาวจีน แต่ก็เป็นเพียงคนจีนส่วนน้อย ในขณะที่ชาวจีนส่วนใหญ่ เป็น “กลุ่มทุนจีนสีขาว” ที่เข้ามาลงทุน เข้ามาทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้มีคนจีนในไทยจำนวนไม่น้อยที่กังวลว่าจะมีการเข้าใจผิดแบบเหมารวม ทั้งๆ ที่คนจีนส่วนมากก็ต้องการให้มีการปราบปรามคนจีนส่วนน้อยที่กระทำผิดกฎหมายในประเทศไทย
แต่เป็นที่น่าสงสัยว่า “ธุรกิจสีเทา” ของคนเหล่านี้ ถูกกฎหมายในประเทศไทยได้อย่างไร คนเหล่านี้ได้รับสัญชาติไทยได้อย่างไร และพวกเขาได้มาตั้งหลักที่มั่นคงในประเทศไทยได้อย่างไร
ในการกวาดล้าง “ธุรกิจสีเทา” ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ได้เริ่มจากการสอบสวนวีซ่าที่ไม่เข้าเกณฑ์ “วีซ่าจำแลง” ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องบางคนส่งเสริมให้กลุ่มคนจีนที่ทำผิดกฎหมายเข้าสู่ประเทศ ในรูปแบบขบวนการแปลงวีซ่า ให้เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเปลี่ยนประเภทวีซ่า ซึ่งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อชาวจีนจำนวนมากที่อาศัยในประเทศไทย
อีกทั้ง ความคิดเห็นของประชาชนในประเทศไทยที่ไม่เข้าใจ หรือรู้ความจริงบางส่วนอาจจะไขว้เขวโดยไปเชื่อมโยงเหมารวม “ชาวจีน” และ “ธุรกิจสีเทา” เข้าด้วยกัน อันเป็นเหตุนำไปสู่การทำลายชื่อเสียงของชาวจีนในภาพรวม
ยิ่งเมื่อมีรายงานข่าว ทำนองว่า ทีมเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางและวีซ่าที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมถึงบริษัทที่มีชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการ จึงกลายเป็นข้อสงสัยว่า รัฐบาลไทยและตำรวจกำลังจะกวาดล้างชาวจีน และพุ่งเป้าไปที่ธุรกิจของชาวจีนแบบเหมารวมหรือไม่ ซึ่งทำให้กลุ่มทุนจีนสีขาว ไม่สบายใจกับสถานการณ์ดังกล่าว
ถึงบรรทัดนี้ สำนักข่าวเนตรทิพย์ เชื่อว่า...แรงบีบจากทางการจีนที่มีต่อทางการไทย และองค์กรสื่อไทย ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ในครั้งนี้จะให้ส่งผลสะท้อนต่อไปยัง...สื่อไทยและสังคมไทย อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า...อาจจะเปลี่ยนความคิดและการใช้คำของ สื่อไทยและสังคมไทย จาก “กลุ่มทุนจีนสีเทา” เป็น “กลุ่มทุนสีเทาจากต่างประเทศ” ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะพฤติกรรมในอดีตนับต่อเนื่องเป็นร้อยๆ ปี ที่บรรพชนจีน...ผู้อพยพมาทำมาหากินในประเทศไทย ต่างนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง ก็คือ...วิ่งเข้าหา “ผู้อำนาจ” และใช้ “เงินหว่าน” กรุยทางไปสู่ความหวัง ทั้งในทางธุรกิจการค้า และการวิ่งเต้น “ซื้อตำแหน่ง” ในทางราชการและทางการเมือง มาตลอด
จนระบบการเมือง การปกครอง และในวงการข้าราชการไทย “เสียศูนย์” มาจนถึงยุคสมัยปัจจุบัน!!!
หลายตระกูลที่เคยเป็น “กุลี” และ/หรือ “พ่อค้า” หาบเร่แผงอลย ต่าง “อัพเกรด” แซ่และวงศ์ตระกูลของตัวเอง ก็ได้เติบใหญ่กลายเป็น “ชนชั้นผู้นำ” เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมไทยได้ในทุกวันนี้ ต่างก็เพราะมี “คนต้นตระกูล” สร้างพฤติกรรมสีเทากันไว้ และได้ส่งต่อพฤติกรรมนี้ ไปจนถึงชั้นลูกหลานเหลนโหลน
ภาพความทรงจำนี้ คงยากจะลืมเลือนไปจากหัวใจและสมองของคนไทย แม้ทางการจีนจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ สื่อไทยและสังคมไทย เลิกใช้คำว่า...กลุ่ม “ทุนจีนสีเทา”
ตราบใดที่พฤติกรรมของคนเชื้อสายจีน ยังคง “เทา” พลังรัฐจีน...ก็คงไม่อาจลบเลือกภาพความทรงจำนี้ออกไปจากใจของคนไทยได้อย่างแน่นอน.