การจัดประชุม นักธุรกิจชาวจีนโลก (WCEC) ครั้งที่ 16 ที่หอการค้าไทย-จีน รับบทเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นช่วงกลางปีนี้ ในกรุงเทพมหานคร คาดว่าจะมีผู้เกี่ยวข้องระดับอภิมหาเศรษฐีจีนโพ้นทะเลกว่า 4 พันคนเข้าร่วมงานฯ กับเม็ดเงินเฉพาะในห้วง 24-26 มิถุนายน ก็น่าจะสะพัดไม่ต่ำกว่าครึ่งพันล้านบาท แถมยังมีต่อยอดเจรจาการลงทุนหลังจากนั้นอีกนับหลายหมื่นล้านบาท ปมนี้...อยู่ในความสนใจของรัฐบาลปักกิ่ง สิ่งที่ยืนยัน...คำตอบมีให้อ่านในบทความชิ้นนี้
หลายประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนของไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ต่างตกอยู่สภาวะความเสี่ยงต่อการล่มสลายทางเศรษฐกิจ กระทั่ง อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ เพราะตกอยู่ในสถานการณ์ “หนี้สินต่างประเทศล้นพ้นตัว” ไปโดยปริยาย
ไม่ว่าจะเป็น...เมียนมา ที่ยามนี้...อำนาจตกอยู่ในเมือง “รัฐบาลเผด็จการทหาร” นำโดย พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ซึ่งเจ้าตัวได้นำระบบเศรษฐกิจและเมืองของประเทศไปจำนองกับ “รัฐบาลปักกิ่ง” ก่อนหน้าแล้ว
เนื่องเพราะไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลประชาธิปไตยทั่วโลก นำโดยสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรในยุโรป ดังนั้น “รัฐบาลเผด็จการทหาร” ของเมียนมา จึงต้องนำประเทศไปผูกไว้กับรัฐบาลจีน
อีก 2 ชาติ ที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกับเมียนมา ก็คือ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ชาติ ต่างก็เปิดรับทุนจีนเข้ามาครอบงำระบบเศรษฐกิจ ทั้งด้านการค้า การลงทุน การเปิดบ่อนคาสิโน รวมถึงการขนแรงงานจีนเข้ามาแย่งงานคนในชาติของตัวเอง กันเป็นล่ำสัน
ถึงขั้นประกาศอนุญาตให้ใช้เงินสกุลหยวนของจีน ในประเทศของตนเองได้เป็นทางการอย่างเสรี และมีแนวโน้มว่า...เงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทของไทย ที่เคยถูกนำมาใช้เป็นสกุลเงินในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการของทั้ง 2 ประเทศนั้น
ก็ไม่แน่ว่า...จะยังคงเป็นเช่นนี้อีกหรือไม่?
พลังอำนาจ “เงินหยวน” ใน สปป.ลาว และกัมพูชา ช่างรุนแรงไปตามพลังบีบในทางการเมืองระหว่างประเทศของชาติเจ้าหนี้รายใหญ่นี้ยิ่งนัก!
เหตุที่ 3 ใน 4 กลุ่ม CLMV (ยกเว้น! เวียดนาม ที่สามารถแชร์อำนาจของชาติต่างๆ ได้ดีกว่าชาติที่เหลือ) ตกเป็น “ลูกหนี้” จากการลงทุนสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งการสร้างเมือง ถนน รถไฟ รถไฟฟ้า ฯลฯ นำไปสู่ภาวะ “มีหนี้ต้องชดใช้” และหากยังใช้ไม่ได้ หรือได้บ้าง...แต่ยังติดค้างอีกเพียบ! ก็ต้องจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็น “สิทธิพิเศษ” ตามแต่ “รัฐบาลปักกิ่ง” จะบีบเอามา..
ฐานทัพเรือสร้างใหม่ในกัมพูชา ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ว่านี้..
ต่อเนื่องกันไป กับอาการกร่าง...หาเรื่องชาติเพื่อนบ้านของทั้ง กัมพูชา และ สปป.ลาว ยามนี้ ก็ไม่ต้องสงสัย? งานนี้...เบอร์ใหญ่ในรัฐบาลของ 2 ชาติ เล่นเอง โดยมี “พี่เบิ้ม” คอยให้ท้าย...
ถามว่า... “รัฐบาลปักกิ่ง” อยากสร้างปัญหาให้กับคนไทยและประเทศไทยหรือ? คำตอบคือ เปล่า! แต่พวกเขาจำเป็น “แยกกันเล่น...คนละบทบาท”
บทบาทหนึ่ง...หนุนและเชียร์ไทยในเวทีโลก แต่อีกบทบาท...ก็ต้องเคียงข้างชาติที่ตัวเองหวังจะย่องเงียบไป “กินเรียบทั้งแผ่นดิน” คู่ขนานกันไป
ลำพังไทย...ทางการจีน แทบไม่ต้องทำอะไรกันเลย แค่มีคนจีนโพ้นทะเลอยู่ในไทย ราว 20 ล้านคน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของคนในประเทศไทย แค่นี้...ก็มี “พลังแฝง” มากมายอยู่แล้ว ยิ่งได้...บรรดาเจ้าสัวนับร้อยตระกูล ผูกขาดและกินรวบระบบเศรษฐกิจของไทย
แค่นี้...ก็ชี้นำทิศทางของประเทศนี้ได้แล้ว โดยไม่ต้องทำอย่างที่ทำกับ 3 ชาติอาเซียนข้างต้น
เรื่อง “ทุนจีนสีเทา” ในไทย... หาก “รัฐบาลปักกิ่ง” คิดจะร่วมกันแก้ปัญหากับทางการไทย ล่ะก็ มิต่างจากการ...ปอกกล้วยเข้าปาก! แต่เพราะมีปมบางอย่าง?...ทาง “แผ่นดินใหญ่” จึงสงวนท่าทีต่อปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่รัฐไทย ที่ก็จำต้องเล่นตามบทบาทของตัวเอง
หากไม่เล่นในบทบาทนี้...อาจโดน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ฟ้องมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอาได้
แต่เรื่องที่ “รัฐบาลปักกิ่ง” ไม่เล่นไม่ได้เป็นอันขาด! ก็คือ การที่หอการค้าไทย-จีน องค์กรที่มีอายุการจัดตั้งมายาวนานถึงกว่า 100 ปี จะรับบทเป็น...เจ้าภาพจัดการประชุม นักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention-WCEC) ครั้งที่ 16 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 มิถุนายน 2566 ณ ศูนย์ฯ ประชุมสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
งานนี้...ทางการจีน จำเป็นจะต้องขอมีเอี่ยวกับไทยแบบสุดๆ ทั้งเกมบนและใต้ดิน!!!
ทุกวันนี้...แม้อำนาจทางเศรษฐกิจของจีน อาจดูเป็นรองฝั่งสหรัฐฯ เหมือนเช่นอำนาจทางการทหาร แต่ทว่า...การมีเครือข่ายนักธุรกิจเชื้อสายจีนโพ้นทะเล กระจายตัวไปทั่วโลก แถมมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่เองพำนักอาศัย ย่อมถือเป็น “แต้มต่อ” ของพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่ “รัฐบาลปักกิ่ง” พึงมี
ดังนั้น การที่กว่า 2,000 นักธุรกิจจากทั่วโลก ที่หอบหิ้วบรรดาผู้บริหารและพนักงานคนสำคัญ รวมถึงครอบครัวของตัวเอง เดินทางร่วมคณะฯ มาประชุมกันในเมืองไทย ช่วงกลางปีนี้...ย่อมเป็นสิ่งที่ทางการจีน ให้ความสนใจอย่างที่สุด
ยิ่งทำเลที่ตั้งของไทยอยู่ในจุดศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน การเป็น..แหล่งผลิตอาหาร เครื่องเทศ สมุนไพร และมีอาหารเลิศรสที่โลกยอมรับ แถมไทยยังเป็น “จุดหมายปลายทาง” ด้านการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกเสียอีก
การปล่อยผ่านโดยไม่มีส่วนร่วมของ “รัฐบาลปักกิ่ง” จึงมิใช่ภารกิจที่พวกเขาจะละเลยหรือปฏิเสธได้
ดังนั้น ในการจัดแถลงข่าวของ หอการค้าไทย-จีน ในเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา จึงได้เห็น นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ร่วมอยู่ในกลุ่มผู้แถลงข่าวแนวหน้า
“รัฐบาลจีนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลกครั้งที่ 16 ในประเทศไทยในครั้งนี้ โดยพร้อมจะให้ความร่วมมือในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงาน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักธุรกิจจีนจากทั่วโลก ขณะเดียวกัน ก็พร้อมจะส่งเสริมและสนับสนุนให้นักธุรกิจจีนจากประเทศจีน ได้ออกไปลงทุนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศไทยและในอาเซียน”
ข้างต้นคือ คำพูดสุดแสนสุภาพในกรอบการทูตที่ ตัวแทนรัฐบาลจีน แสดงออกมาให้เห็น...
ลึกๆ จะเสมือนเป็นการประกาศความมีส่วนร่วมในความเป็น “เจ้าของงานฯ” หรือไม่? คงคาดเดากันได้ไม่ยาก แต่สิ่งที่อยากบอกเป็นข้อสังเกตก็คือ...
งานนี้...เจ้าภาพจัดงาน คือ หอการค้าไทย-จีน ซึ่งถือเป็นองค์กรเอกชน ภายใต้การนำของ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการฯ โดยมีคณะกรรมการหอการค้าไทย-จีน ร่วมคิดและตัดสินใจนั้น เกือบทุกคน...ล้วนเกรงใจ “รัฐบาลปักกิ่ง” และ/หรือ “ตัวแทนจากแผ่นดินใหญ่” ทั้งสิ้น!
พูดให้ชัด! ตัวแทนรัฐบาลไทย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ ที่ในวันแถลงข่าว... นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ จะมาร่วมงานเหมือนเช่นที่ “รัฐบาลท้องถิ่น” ภายใต้การนำของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็มาร่วมงานด้วย
แต่ทั้งคู่...ดูจะเป็นแค่ “ไม้ประดับ” เสริมบารมีให้ “เจ้าภาพฯ ร่วม” อย่าง...สถานทูตจีนประจำประเทศไทย ตัวแทน “รัฐบาลปักกิ่ง” เสียมากกว่า
หยั่งว่า...เลือดย้อมข้นกว่าน้ำ! ปมนี้เอง...ที่ทำให้ทางการจีน เลือกที่จะเล่นในบางบทบาทกับไทย แตกต่างไปจาก 3 ชาติใน CLMV ที่โดนกลยุทธ์ “หนี้สินต่างประเทศล้นพ้นตัว” เล่นงานจนเสียศูนย์!
เอาเป็นว่า...ไม่ว่า “รัฐบาลปักกิ่ง” จะมาไม้ไหนกับไทย? แต่การจัดประชุมนักธุรกิจชาวจีนโลก (World Chinese Entrepreneurs Convention-WCEC) ครั้งที่ 16 ที่จะมีขึ้นกลางปีนี้ ในกรุงเทพมหานคร นั้น ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การส่งออก การท่องเที่ยว แม้กระทั่งการส่งนักเรียน-นักศึกษาจากประเทศจีนและเพื่อนบ้านอาเซียน เข้ามาศึกษาต่อในประเทศไทย อย่างสุดๆ เช่นกัน...
ดังที่ นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ระบุเอาไว้ว่า... “ผมเชื่อว่าจะมีนักธุรกิจชาวจีนจากทั่วโลกเข้าร่วมประชุมฯในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คน โดยแต่ละคนก็จะมีผู้ติดตาม โดยเฉพาะคนในครอบครัวและพนักงานบริษัทของตน ตามมาอีกเป็นจำนวนมาก รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่า 4,000 คนอย่างแน่นอน
คาดว่า ในช่วงการจัดการประชุมฯน่าจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และจะมีเม็ดเงินลงทุนตามมาอีกหลายหมื่นล้านบาท โดยในจำนวนนักธุรกิจชาวจีนที่จะเข้ามาร่วมประชุมฯในไทยนั้น จะเป็นนักธุรกิจจีนจากแผ่นดินใหญ่ (ประเทศจีน) ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ซึ่งพวกเขามีความต้องการจะเดินทางออกไปแสวงหาแหล่งลงทุนในต่างประเทศ และประเทศไทยถือเป็นเป้าหมายสำคัญของนักธุรกิจชาวจีน เนื่องจากมีกฎหมายและเงื่อนไขการลงทุนที่ค่อนข้างจะผ่อนปรนอย่างมาก
ซึ่งที่ผ่านมา ผมได้รับการติดต่อจากนักธุรกิจคณะต่างๆ นับสิบคณะที่เดินทางมาหารือ พร้อมกับสอบถามและศึกษากฎหมาย รวมถึงเงื่อนการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น โรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รวมอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ”
นาทีนี้...ประโยชน์ใครได้? ก็ต้องตักตวงกันไปก่อน มือใครยาวสาวได้...สาวกันเองแล้วกัน!!!