อั้นกันมานาน 4 ปี ถึงเวลาที่คนทั่วโลก จะได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศ “เทศกาลน้ำของโลก” หรือ สงกรานต์ เฟสติวัล กันอีกครั้ง คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะตบเท้าเข้าไทยช่วง 12-16 เม.ย.นี้ รวมกว่า 2.5 แสนคน เงินสะพัดกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท
……………………………
งานเทศกาลน้ำครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ที่คนไทยได้ประกาศให้คนทั่วโลกรับรู้ทั่วกันมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานนับร้อยๆ ปี นั่นคือ “เทศกาลสงกรานต์”
ทว่าครั้งสุดท้าย! ของการจัดงานมหกรรมระดับโลก ที่รัฐบาลและเอกชนไทยเคยจัดร่วมกันมาแบบสุดอลังการงานสร้างทั่วประเทศ ก็คือ งานที่เกิดขึ้นในช่วงเมษายนปี 2562
เพราะก่อนจะเข้าสู่งานเทศกาลสงกรานต์ในปี 2563 แค่ไม่ถึงเดือน โลกใบนี้และประเทศไทย ต่างก็ประสบชะตากรรมร่วมกัน...ถูกพิษภัยจากมหัตภัยวายร้าย อย่างเชื้อไวรัสโควิด-19 โจมตี จนต้องประกาศ “ล็อกดาวน์” ประเทศตามมา กระทั่งยกเลิกทุกกิจกรรมที่จะนำพาฝูงชนจำนวนมากมาพบเจอกัน เพราะนั่น...อาจเสี่ยงต่อการถูกคุกคามจากการแพร่เชื้อร้ายของไวรัสฯ ตัวนี้
แผนงานการจัดเทศกาลสงกรานต์ในปีนั้น จึงต้องถูกยกเลิกออกไปอย่างกะทันหัน!
นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมาก ทั้งจากชาติเอเชียตะวันออก อาเซียน ยุโรป อเมริกา และอีกหลายๆ ภูมิภาคทั่วโลก ที่จับจองและวางแผนจะเข้าร่วมงานงานเทศกาลน้ำฯ ต่างยุติแผนการท่องเที่ยวครั้งนั้นออกไปก่อน
และเป็นการยกเลิกการจัดกิจกรรมระดับโลกในเมืองไทย แบบไม่รู้ปลายทางว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ประเทศ และคำสั่งให้มีการหยุดทุกกิจกรรมของผู้คน รวมถึงคำสั่งห้ามเดินทางเข้า-ออกนอกประเทศ ทำให้ธุรกิจร้านรวง ทั้งร้านค้าเล็กและใหญ่ ต่างประสบปัญหาเดียวกัน นั่นคือ ปิดตัวลงและเจ๊งยับ!
แรงงานในภาคบริการและการท่องเที่ยว รวมถึงบางส่วนของภาคการผลิตในอุตสาหกรรมหลากหลายแขนง ก็ต้อง “รีไซส์” ลดกำลังการผลิต และลดการจ้างงานลงตามกันไป
สถานการณ์ยามนั้น เดือดร้อนกันไปทั่ว เศรษฐกิจฉิบหายกันป่นปี้ นับหลายล้านล้านบาท!!!
ลำพัง...นโยบายสาธารณะของรัฐบาลไทย ตั้งแต่...การแจกเงิน ไปจนถึงการกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายและอีกสารพัด โดยเฉพาะนโยบายหยุดหนี้เก่า ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงการปล่อยเงินกู้ก้อนใหม่ เพื่อให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจที่เดือดร้อน ได้มีลมหายใจต่อไป เพื่อรอความหวังจากการกำหราบไวรัสโควิดฯ ที่คาดว่าจะมีหนทางต่อสู้จากนักวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์ของโลก
ทว่า สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่อาจหยุดยั้งปัญหาความเดือดร้อนของคนไทยและภาคธุรกิจไทยได้
บนปัญหาความเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้าไปทั่วทุกมุมโลกนั้น ในประเทศไทย...รัฐบาลไทยและหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้พยายามหา “โมเดลใหม่ๆ” ด้วยการทดลองรูปแบบการ “เปิดประเทศ” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาหลายรูปแบบ จากเล็กไปใหญ่ จากน้อยไปมาก
ที่สุด! เมื่อคนไทยและคนทั่วโลกได้รับวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 กันเต็ม 2 แขน ขณะที่เชื้อไวรัสโควิด-19 เองก็ค่อยๆ ลดอันตรายและความร้อนแรงลง การเปิดประเทศครั้งใหญ่ของรัฐบาลไทย จึงเริ่มต้นเมื่อช่วงกลางปี 2565 แต่นั่น...ก็ไม่ทันกับเทศกาลสงกรานต์ในปีเดียวกัน ที่ได้ผ่านมาพ้นช่วงเวลาของการจัดกิจกรรมไปก่อนหน้านั้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้...ได้ส่งสัญญาณบวกต่อภาคบริภาคและการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพราะหลังจากเปิดประเทศได้ไม่นาน จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตบเท้าเข้าไทยในช่วงครึ่งปีที่เหลือของปี 2565 ก็พุ่งทะยานเกินเป้าหมายที่ภาครัฐวาดฝันเอาไว้แค่ 10 ล้านคน เพราะตัวเลขจริงขยับไปเกิน 11 ล้านคน สร้างเม็ดเงินรายได้เงินตราต่างประเทศมากถึงกว่า 1 ล้านล้านบาท
ลดทอนปัญหาเศรษฐกิจถดถอยภายในประเทศได้เป็นอย่างดี
ททท. เอง ได้วางเป้าหมายตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 2566 โดยคาดหวังว่า...จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยกว่า 28 ล้านคน สร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ ไม่น้อยกว่า 2.2 ล้านล้านบาท
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. ให้ข้อมูลตัวเลขของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ช่วง 3 เดือนแรก (ไตรมาสที่ 1) ของปี 2566 ว่า มีมากถึง 6.4 ล้านคน เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงเกือบ 1,200% หรือ 12 เท่าตัว สร้างรายได้เงินตราต่างประเทศมากถึง 2.4 แสนล้านบาท
โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบด้วย...นักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย มากที่สุดถึงกว่า 9 แสนคน รองลงมาคือ รัสเซีย ราว 5.6 แสนคน ตามมาด้วย จีน 5.1 แสนคน เกาหลีใต้ 4.4 แสนคน ปิดท้ายด้วยนักท่องเที่ยวจาก อินเดีย ราว 3.2 แสนคน
มีการคาดการณ์กันว่า...สิ้นสุดปลายปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวจีน ก็น่าจะแซงนำหน้านักท่องเที่ยวมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ระดับมากกว่า 5 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ สูงสุดอาจจะมากถึง 7-8 ล้านคนกันเลยทีเดียว
ตัวเลขเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวที่ระดับ 2.2 ล้านล้านบาท ก็อาจไม่ไกลเกินฝันกันนัก!
หันมาดู จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทาง ททท. เชื่อว่า...จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติตบเท้าเข้าไทย เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศเทศกาลน้ำระดับโลก ช่วงระหว่างวันที่ 12 – 16 เมษายนนี้ ไม่ต่ำกว่า 2.5 แสนคน และจะมีเม็ดเงินสะพัดเฉพาะช่วงเวลาดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 1.8 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน
สอดรับกับคาดการณ์ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่ง ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์ฯ ระบุว่า การใช้จ่ายของคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ น่าจะมีสูงถึง 1.25 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.3%
เงินที่แพร่สะพัดไปทั่วประเทศรอบนี้ เชื่อว่า...จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปีนี้ เติบโตเพิ่มขึ้นอีก 0.5-0.7%
ไม่ต่างจากที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินก่อนหน้านี้ว่า...การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 5 วันระหว่างวันที่ 13-17 เม.ย. 2566 น่าจะมีจำนวน 5.1 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 28.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศ คาดว่า จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาที่พักที่ปรับตัวขึ้นจากสถานการณ์ท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เช่นเดียวกับการจัดงานกิจกรรมช่วงสงกรานต์ สถานที่ท่องเที่ยวกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ช่วยหนุนการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น
โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า...การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 นี้ น่าจะมีมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น 26.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แม้ตัวเลขของแต่ละสำนักที่ประเมินและคาดการณ์กันออกมา จะแตกต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ตรงกัน นั่นคือ...เติบโตกว่าในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมาและรอบนี้...เศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย ก็คงจะกลับมาอู้ฟู่เหมือนก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯอย่างแน่นอน
ที่เหลือ...ในฐานะ “เจ้าบ้าน” คนไทยต้องช่วยกันต้อนรับขับสู้ ช่วยเหลือและแนะนำสิ่งดีๆ เพื่อที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะได้เกิดความประทับใจต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทย และกลับมาท่องเที่ยวใหม่อีกครั้งในปีหน้าและปีต่อๆ ไป
คนไทย...เทศกาลไทย...ชุดไทย...อาหารไทย..ประเพณีไทย...วัด-วังไทย และทุกคุณค่าความเป็นไทย... ล้วนสามารถแปลงมาเป็นตัวเลขทางเศรษฐกิจ สร้างความมั่นคั่งและมั่นคงให้กับคนไทย ธุรกิจไทย และประเทศไทย ได้เป็นอย่างดี
เทศกาลน้ำ...มหกรรมเทศกาลสงกรานต์ จะเป็น “ตัวชง” ส่งต่อไปยังกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ถึงเวลาที่คนไทยทุกคน...จะต้องสวมบท “เจ้าบ้านที่ดี” กันอีกครั้งแล้ว!