
ไม่แปลกใจเลยกับเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ “กรมสรรพสามิต” ที่ดอดไปตั้ง “แก๊งนักบิน” ตบทรัพย์ร้านรวงทั้งหลายก่อนยัดบุหรี่เถื่อน เหล้าเถื่อน แล้วรีดทรัพย์แลกกับการปล่อยตัว
โดยเฉพาะกับรายล่าสุดที่เกิดขึ้นกับ “ป้าพร” เจ้าของร้านขายของชำที่ตั้งอยู่ในซอยพหล 52 ซึ่งถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน ที่อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่สรรพสามิตบุกเข้ามาตรวจค้นในร้านขายของชำของป้า ก่อนจับยึดเอาบุหรี่ 2 คอตตอนไปตรวจสอบแล้วสับเปลี่ยนเอาของปลอมยัดใส่มือก่อนบังคับรีดเงิน 20,000 แลกกับการปล่อยตัว
หากเป็นกรณีทั่วไปเรื่องนี้คงจบไปแบบเงียบๆ แก๊งตบทรัพย์พวกนี้ก็คงยังจะทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันต่อไปได้สบายๆ แต่กรณีป้าพรที่คงโดนรีดมาเยอะก่อนหน้านี้ และเจ้าตัวก็มั่นใจว่า บุหรี่ที่ตนเองซื้อมาจากร้านค้าส่งในซอยนั้น ยังไงก็ไม่ใช่บุหรี่เถื่อนแน่ จึงไปร้องเพจดัง “สายไหมต้องรอด” ให้ช่วย
แถมดันมาซวยเอาที่ร้านป้าดันมีวงจรปิดที่บันทึกพฤติกรรมของแก๊งตบทรัพย์ (ในเครื่องแบบ) พวกนี้เอาไว้ละเอียดยิบทุกซอกทุกมุม เรื่องถึงได้จบเห่!

วันวาน ได้อ่านแถลงข่าวของ นายณัฐกร อุเทนสุต โฆษกกรมสรรพสามิต ที่ออกมาตอบโต้กรณีสื่อสังคมออนไลน์และทีวีพากันประณามการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานสรรพสามิต จังหวัดแพร่ ที่ขับรถหลวงไล่ชนรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านที่เจ้าหน้าที่อ้างว่า กำลังขนเหล้าเถื่อน (เหล้ากลั่นชุมชน) หลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องขับรถไล่กวด ก่อนจะเกิดอุบัติเหตผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เสียหลักชนป้ายบอกทางได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกสะโพกหลุด แต่ยังถูกเรียกเงิน 30,000 บาท แลกจบคดีขายเหล้าเถื่อน
แต่ทางกรมสรรพสามิต กลับระบุว่า ก่อนเกิดเหตุนั้น สรรพสามิตในพื้นที่แพร่ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีการขนสุราเถื่อนที่ผลิตขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต (เหล้ากลั่นชุมชน) ซึ่งลักลอบผลิตบริเวณป่าบ้านนาตอง ตำบลช่อแฮ ก่อนจะลำเลียงโดยนำสุราซึ่งบรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกห่อหุ้มด้วยถุงผ้าวางไว้บริเวณหว่างขาของผู้ขับแล้วนำมาส่งยังร้านค้าในตำบลช่อแฮ และตำบลใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันวางแผนจับกุมโดยตั้งด่านสกัดบริเวณถนนสายช่อแฮ-นาตอง ห่างจากปากทางเข้าวัดพระธาตุดอยเล็ง ประมาณ 150 เมตร ก่อนพบรถจักรยานยนต์วิ่งตามกันมา 2 คัน ลักษณะตามที่ได้รับแจ้งจึงได้ส่งสัญญาณไฟให้หยุดและแสดงตนจับกุม แต่ 1 ใน 2 ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ได้เร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงขับรถไล่ตามหวังจะแซงและส่งสัญญาณให้หยุด แต่รถเกิดเฉี่ยวชนกันเสียก่อนทำให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เสียหลักล้มลงจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ได้ทำการช่วยเหลือประสานหน่วยกู้ภัยมาให้การช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาล ก่อนจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป พร้อมยืนยันการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมเป็นไปตามระเบียบกฎหมายทุกประการ (ยกเว้นจะไปหาคลิปตอนถูกไล่ชนมาแสดงได้)
เรื่องของคดีความใครผิด-ใครถูก ชาวบ้านที่ต้มเหล้าเถื่อนแหกด้านเจ้าหน้าที่ที่เขาตั้งด่านตามกฎหมาย ก่อนมีการขับรถไล่กวดไล่จับจนเกิดเหตุเฉี่ยวชน หรือตั้งใจชนอย่างไรนั้น ก็คงปล่อยให้เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย แต่ข้อมูลหนึ่งที่ได้จากรายงานของกรมสรรพสามิตเอง ก็คือ ผู้บาดเจ็บรายดังกล่าวนั้นเคยเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ทำสุราชุมชน แต่ได้เลิกกิจการไปแล้ว
ตรงนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อเคยได้รับอนุญาตให้ผลิตสุราชุมชนได้แล้ว ทำไมถึงยังกลับไปต้มเหล้าเถื่อนกันอยู่อีก ! เห็นแล้วก็ให้อดนึกเลยไปถึงเรื่องที่กระทรวงการคลังได้ประกาศ “กฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565” ที่แก้ไขปรับปรุงกฎกระทรวงการคลังว่าด้วยการอนุญาตผลิตสุรา พ.ศ.2560 ซึ่งประกาศใช้ไปตั้งแต่ 1 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา
ที่นัยว่า เป็นการแก้ไขกฎกระทรวงการอนุญาตผลิตสุราเพื่อ “แก้ลำ” ร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. ... หรือ “พ.ร.บ.สุราก้าวไกล” ที่ตั้งแท่นจะปลดล็อคการผลิตเหล้าชุมชน จนทำเอาร่างกฎหมายดังกล่าวถูกทำแท้งไปในวันรุ่งขึ้น

ขณะที่การแก้ไขกฎกระทรวงการผลิตสุรา ที่นัยว่า สามารถทำได้ง่ายกว่า เพื่อเปิดทางให้วิสาหกิจชุมชนสามารถผลิตสุราชุมชนได้อย่างเสรีนั้น วันนี้ก็ยังคงเป็นคำถามที่ประชาชนคนไทยในทุกชุมชนคงต้องย้อนถามกลับไปยังกระทรวงการคลังและกรมสรรพาสามิต ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ตั้งแท่นชงกฎกระทรวงฉบับนี้ขึ้นมาว่า
ไหนละการเปิดเสรีสุราชุมชนที่ว่านั้น ? เหตุใดจนถึงวันนี้ ยังไม่เห็นชุมชนใดออกมาป่าวประกาศความสำเร็จในการผลิตเหล้า/เบียร์ชุมชน ตามกฎกระทรวงที่ว่านี้แม้แต่น้อย!!!
หรือว่า ไอ้ที่ตีปี๊บประกาศกฎกระทรวงการผลิตสุราเสรีที่ว่านั้น มันแค่ “มหกรรมปาหี่” ที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลชุดนี้ช่วยกันต้มตุ๋นหลอกลวงประชาชนคนไทยกันแน่ มันแค่มหกรรมปาหี่ที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังคงกระทำตนเป็นลูกไล่ รับใช้ “นายทุน” โรงเหล้า “เจ้าสัว” ที่ผูกขาดการผลิตเหล้า-เบียร์ผ่านกลไกรัฐ โดยไม่เคยคิดถึงการเปิดเสรีการผลิตสุราชุมชนที่แท้จริง!
เพราะเนื้อแท้ของกฎกระทรวงการผลิตสุรีเสรีที่ว่านั้น ไม่มีทางที่ชุมชนใดจะทำได้นั่นเอง
แล้วอย่างนี้ ประชาชนคนไทยยังจะคาดหวังอะไรเอากับ “พรรคการเมือง” และ “นักการเมือง” ที่ร่วมหอลงโลงอยู่กับรัฐบาลชุดนี้ได้ เรายังจะคาดหวังหรือว่า นักการเมืองหรือพรรคการเมืองเหล่านี้จะมีปัญญาปลด “โซ่ตรวน” การผลิตสุราชุมชน ผลิตไวน์ชุมชน หรือผลิตเบียร์ชุมชนหรือคราฟเบียร์ที่ทุกฝ่ายเพรียกหาได้
หากยังคงปล่อยให้พรรคการเมือง “เหลือขอ” ที่กระทำตนเป็น “ทาสนายทุน” เหล่านี้กลับเข้ามา!!!
ไล่ดะไปตั้งแต่ “รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)” ที่มีคนไปสัพยอกเป็น “รวมไทยสร้างทาส” เสียมากกว่า หรือพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือจะภูมิใจไทย (ภท.) ยิ่ง ปชป. ด้วยแล้วที่ยึดกฎหมายเพื่อนายทุนเป็นที่ตั้งนั้น อย่าไปคาดหวังว่านักการเมืองและพรรคการเมืองเหล่านี้ จะปลด “โซ่ตรวน” ของตนเองออกจากแอกของนายทุนได้!ชาตินี้อย่าได้ฝัน
มันต้อง “พรรคก้าวไกล” เท่านั้น หากอยากเห็นเมืองไทยมีสุราหรือเหล้าชุมชน คราฟเบียร์ และไวน์ชุมชน ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดแบบที่ประเทศญี่ปุ่นเขามี “สาเก -สุราชุมชน” และเบียร์ชุมชนผุดกันเป็นพัน ๆ แบรนด์ สร้าง Value Added ที่มากลายเป็นสินค้าส่งออกสร้างรายได้ให้กับชุมชนต่าง ๆ อยู่ทุกวันนี้
กับข้ออ้าง หากทำเช่นนั้นเหล้าเด็ก-เยาวชนไทยจะไม่ถูกมอมเมาถองเหล้ากันหยำเป กลายเป็นประเทศขี้เหล้าหรือ? ก็คงต้องย้อนถามว่าแล้วทุกวันนี้ ไม่ขี้เหล้า-ขี้ยากันหรือไร?
เพราะประเด็นการเปิดเสรีเหล้า-เบียร์ เปิดโอกาสให้วิสาหกิจชุมชนได้ผลิตเหล้า เบียร์ เสรีกับเรื่องของการรณรงค์ ป้องกันไม่ให้เด็กเยาวชนตกไปเป็นทาสเหล้าเบียร์นั้น “มันคนละเรื่อง-หนังคนละม้วน” การบังคับใช้กฎหมายห้ามเด็กเยาวชนซื้อ-ขายและเสพเหล้าเบียร์ หรือบุหรี่นั้นเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ที่บ้านเรามัน “ห่วยแตก” เอง
เจ้าหน้าที่รัฐก็มัวแต่ตั้ง “แก๊งตบทรัพย์หากิน(แดก)” ไม่เอาใจใส่กับการบังคับใช้กฎหมายพื้นฐานที่ว่านี้ มันถึงได้มีการรีดไถกันทุกซอกทุกมุม ทั้งส่วยจราจร เหล้า เบียร์ กันเต็มเมืองไงครับ

ทำไมในญี่ปุ่นที่มีเหล้า เบียร์ ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ราคาเหล้าสาเก หรือไวน์ชุมชน เหล้าชุมชนอะไรของเขานั้น ขอโทษถูกกว่าบ้านเราไม่รู้กี่ร้อยเท่า ใครไปท่องเที่ยวดินแดนซากุระคงรู้อยู่เต็มอกว่าราคาถูกแค่ไหน แต่เด็ก เยาวชนของเขากลับไม่ได้หลงระเริงไปกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มีปัญหาเรื่องของเด็กเยาวชนถองเหล้าแล้วผีเข้าสิงจนต้องออกไประบาย ยกพวกตีรันฟันแทงกันแบบบ้านเรา
เพราะอะไรหรือ?
ถึงเวลาที่ประชาชนคนไทยเราจะต้องตัดสินใจกันเอง โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งอย่างแท้จริง อย่าไปฟังไอ้นักการเมืองเหลือขอที่ได้อำนาจไปแล้ว ก็ไปซูฮกกระทำตนเป็นขี้ข้านายทุน ขี่ข้าเจ้าสัวทั้งหลายแหล่กันอีกเลย
สาปส่งมันลงหลุมไปได้แล้ว พรรคการเมืองขี้ฉ้อเหล่านี้ !!!
