ขุนคลัง ”อาคม” เซ็นต์กู้เงินจากธนาคารพัฒนาเอเชียหรือ ADB ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Mr. Hideaki Iwasaki ผู้อำนวยการสำนักงานผู้แทนธนาคารพัฒนาเอเชีย ประจำประเทศไทย ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้ COVID-19 Active Response and Expenditure Support Program วงเงิน 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ณ กระทรวงการคลัง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ความร่วมมือทางการเงินระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ครั้งนี้ เป็นการดำเนินการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พ.ร.ก. COVID-19) ซึ่ง ADB ได้จัดเตรียมมาตรการทางการเงินเพื่อให้การสนับสนุนแก่ประเทศสมาชิกในการแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีเงื่อนไขเงินกู้แบบผ่อนปรน ซึ่งสามารถนำไปสนับสนุนด้านงบประมาณให้แก่รัฐบาลของกลุ่มประเทศสมาชิกเพื่อดำเนินนโยบายและมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการใช้เครื่องมือในการระดมทุนหลากหลายชนิด เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน การทำสัญญากู้เงิน และตั๋วเงินคลัง จากตลาดเงินในประเทศเพื่อเป็นการระดมทุนสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินแผนงาน/ โครงการ ภายใต้ พ.ร.ก. COVID-19 ทั้ง 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานที่ 1 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แผนงานที่ 2 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการฯ และแผนงานที่ 3 แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ โดยกระทรวงการคลังมีภารกิจในการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะของประเทศ โดยการกู้เงินให้สอดคล้องและเพียงพอต่อความต้องการใช้จ่ายของรัฐบาลภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อรักษาความยั่งยืนของฐานะการเงินการคลังของรัฐบาล รวมทั้งสอดคล้องกับสภาวะตลาด (Market Base) และป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งชิงสภาพคล่องหรือทรัพยากรทางการเงิน (Crowding Out) กับภาคเอกชนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้เงินโดยรวมของประเทศ