ชี้ชัดรายงานสุวรรณภูมิยกเมฆ รับผู้โดยสาร 150 ล้าน เหตุข้อจำกัดอื้อสั่งกลับไปปัดฝุ่นเทอร์มินัลด้านตะวันออกตามมติ ครม.เดิม ทำแผนที่วางไว้ระส่ำ ซ้ำร้ายวงในชี้บอร์ด - ฝ่ายบริหารต้องแสดงความรับผิดชอบ ทำองค์กรเสียหาย สูญค่าที่ปรึกษา จัดทำแผนไปนับ 1,000 ล้าน!
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊คในหัวข้อ ”ป.ป.ช. “ ยี้ ” เทอร์มินัล 2 ตัดแปะ” โดยระบุว่า..
แม้ว่าสภาพัฒน์ได้ค้านการก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ตัดแปะ มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ ทอท. ก็ยังคงมีความพยายามที่จะก่อสร้างให้ได้ ล่าสุด ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์เบรกโครงการนี้ และได้ร่อนข้อเสนอแนะถึง ครม. เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ต้องการที่จะเพิ่มความจุของสนามบินสุวรรณภูมิโดยการก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ทางด้านทิศเหนือของเทอร์มินัล 1 หรืออาคารผู้โดยสารในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผิดแผนแม่บท ทำให้ถูกเรียกว่าเทอร์มินัล 2 ตัดแปะ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าเป็นการตัดรูปเทอร์มินัลมาแปะไว้เท่านั้น โดยไม่ได้ศึกษาความเหมาะสมอย่างละเอียดรอบคอบ แต่ต่อมา ทอท. เรียกอาคารนี้ซึ่งไม่มีอยู่ในแผนแม่บทว่าส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ ทั้งนี้ ในการเพิ่มความจุของสนามบินนั้นแผนแม่บทกำหนดให้ขยายเทอร์มินัล 1 ก่อน แล้วตามด้วยการก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ทางด้านทิศใต้ใกล้ถนนบางนา-ตราด
ทอท. ไม่ฟังเสียงทักท้วงจากใครเลย ไม่ว่าจะเป็นจากบริษัทที่ปรึกษาของ ทอท. จากองค์กรวิชาชีพ 12 องค์กร และจากนักวิชาการที่เป็นห่วงว่าส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ นานาตามมา ทำให้เกิดผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสนามบิน อีกทั้ง ยังมีเสียงทักท้วงจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ถึง 2 ครั้ง ที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ และได้เสนอแนะให้ ทอท. เร่งขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตามด้วยการก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ด้านทิศใต้ใกล้ถนนบางนา-ตราด
นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมาธิการศึกษาจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือเช่นเดียวกัน และได้มีหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 เพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
ข่าวการคัดด้านการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนืออยู่ในความสนใจของสำนักเฝ้าระวังและประเมินสภาวการณ์ทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตลอดมา โดยได้ศึกษาข้อมูล ข้อเท็จจริง จากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างละเอียดมาเงียบๆ เป็นระยะเวลานาน ในที่สุดได้นำเสนอผลการศึกษาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในเดือนธันวาคม 2563 โดยมีผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้
1. การเปลี่ยนแผนการขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเป็นการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะทำให้เกิดความแออัดที่เทอร์มินัล 1 และจะทำให้อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ซึ่งกำลังจะเปิดใช้ในอีกไม่นานทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีผู้โดยสารจากส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกมาป้อนให้ตามที่ได้วางแผนไว้ ทั้งนี้ ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกนั้น ครม.ได้อนุมัติแล้วตั้งแต่ปี 2553 มีแบบรายละเอียดการก่อสร้างแล้ว โดย ทอท.ได้จ่ายค่าจ้างออกแบบแล้วด้วย และได้รับความเห็นชอบผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว
2. ขีดความสามารถของส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือซึ่ง ทอท.อ้างว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปีนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีหลุมจอดประชิดอาคารเพียง 14 หลุมเท่านั้น ทั้งนี้ ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบความจุของหลุมจอดประชิดอาคารที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบันพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลุมจอดประชิดอาคารจำนวน 14 หลุม จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 30 ล้านคนต่อปี
3. ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะก่อให้เกิดหลากหลายปัญหาตามมา เช่น (1) ผู้โดยสารไม่ได้รับความสะดวกเพราะต้องใช้รถไฟฟ้าไร้คนขับถึง 3 สาย จึงจะได้ขึ้นเครื่องบิน และ (2) ทำให้รถใช้มอเตอร์เวย์เข้า-ออกสนามบินสุวรรณภูมิมากขึ้น เนื่องจากส่วนต่อขยายด้านทิศเหนืออยู่ใกล้มอเตอร์เวย์ ส่งผลให้รถติดบนมอเตอร์เวย์ ผู้โดยสารจะต้องเผื่อเวลาการเดินทางไปสนามบินเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
4. การก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือจะต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 42,000 ล้านบาท โดย ทอท.อ้างว่าจะรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับการขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 30 ล้านคนต่อปีเช่นเดียวกัน แต่ใช้เงินลงทุนเพียงประมาณ 12,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือประหยัดเงินได้ถึง 30,000 ล้านบาท
5. เป็นการยากที่สนามบินสุวรรณภูมิจะมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี ตามที่ ทอท.กล่าวอ้าง เนื่องจากมีข้อจำกัดในเขตการบินหรือแอร์ไซด์ อีกทั้ง ไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มความจุให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี เพราะในอนาคตผู้โดยสารจะกระจายไปใช้สนามบินดอนเมืองและสนามบินอู่ตะเภาด้วย โดยใช้รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และจากการดูข้อมูลจำนวนผู้โดยสารในสนามบินต่างๆ ทั่วโลก พบว่ามีเพียง 2 สนามบินเท่านั้นที่มีผู้โดยสารถึง 100 ล้านคนต่อปี ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือเพื่อทำให้สนามบินมีความจุถึง 150 ล้านคนต่อปี
หลังจากได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีข้อเสนอแนะให้ ทอท.ดำเนินการดังนี้
1. เร่งขยายเทอร์มินัล 1 ด้านทิศตะวันออก ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553 รวมทั้งขยายด้านทิศตะวันตกด้วย เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 75 ล้านคนต่อปี
2. ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสภาพัฒน์ที่ให้ขยายด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ตามด้วยก่อสร้างเทอร์มินัล 2 ด้านทิศใต้ใกล้ถนนบางนา-ตราด เพื่อให้สนามบินสุวรรณภูมิสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 120 ล้านคนต่อปี เป็นลำดับแรกก่อน แล้วจึงนำส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือมาพิจารณาว่ายังคงมีความจำเป็นอีกหรือไม่
ดูข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช. แล้วพอสรุปได้ว่า ป.ป.ช.ก็ไม่เอาส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือหรือเทอร์มินัล 2 ตัดแปะ ทราบว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการ ครม.แล้ว เพื่อเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป จึงต้องเกาะติดว่า นายกรัฐมนตรี และ ครม.จะทำตามข้อเสนอแนะของ ป.ป.ช.หรือไม่
ข้อสงสัยและข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นข้อกังขาที่ผมและประชาชนทุกคนชอบที่จะต้องขอคำชี้แจงให้สิ้นสงสัยจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ด้วยเจตนาที่จะให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากสนามบินสุวรรณภูมิอย่างเต็มที่ โดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเท่านั้นเอง