ถามไถ่กันมามากมาย เหตุใดวุฒิสมาชิก(ส.ว.) ที่ “เปิดหน้า” ประกาศจะให้การสนับสนุน ”แคนดิเดทนายกฯ” อย่าง “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ที่นำพรรคก้าวไกล(กก.)ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ถึงไม่มาตามนัด
…..
เมื่อถึงเวลากลับ “หาย(หัว)เข้ากลีบเมฆ” หากไม่ยื่นใบลา ก็”งดออกเสียง”ปิดสวิตช์ตัวเองขึ้นมาดื้อๆ
จนทำให้เสียงโหวตเห็นชอบนายพิธา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี “ไปไม่ถึงฝั่งฝัน” โดยได้เสียงสนับสนุนเพียง 324 เสียงเท่านั้น ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง 375 เสียงของที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับพิสดารนี้ โดยเป็นเสียง ส.ว.ที่ให้การสนับสนุนเพียง 13 เสียงเท่านั้น งดออกเสียงถึง 199 เสียง ทำให้เส้นทางเดินสู่ทำเนียบของนายพิธา “ดับวูบ” ลงไปโดยปริยาย และต้องกลับไปนับ 1 ใหม่ รอลุ้นโหวตกันอีกรอบในวันที่ 19 ก.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่ทำเนียบของนายพิธายังคง “หืดจับ” ยิ่งกว่า “เข็นครกขึ้นเขา” ไหนจะถูกที่ประชุม ส.ว. ตั้งแท่นขัดขวางในทุกรูปแบบ ล่าสุดยังถูกคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแท่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติจากการถือหุ้นสื่อ ซึ่งเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ทั้งยังถูกร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญกรณีที่พรรคก้าวไกลได้เสนอร่างแก้ไข ม.112 ที่ถูกระบุว่าเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอีกด้วย
นัยว่า มีการหยิบยกข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ออกมา “ตีปลาหน้าไซ” ญัตติที่จะเสนอนายพิธากลับเข้ามาขอเสียงโหวตสนับสนุนอีกรอบ โดยอ้างว่าไม่สามารถจะเสนอชื่อกลับมาได้ โดยอ้างข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 41 ที่ห้ามเสนอญัตติที่ตกไปแล้วกลับเข้ามาพิจารณาซ้ำ เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตจากประธานสภา
เส้นทางการรับมือกับเสียงโหวตที่จะทำให้แคนดิเดทนายกฯ เดินทางสู่ตึกไทยคู่ฟ้าได้นั้น คงต้องติดตามกันต่อไป แต่ในส่วนของพฤติการณ์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่พากัน “บอยคอต” แคนดิเดทนายกฯ ราวกับรับ “ใบสั่ง” จากใคร ที่สามารถจะกดปุ่ม สั่งให้ “ซ้ายหัน - ขวาหัน” ราวกับมีรีโหมทอยู่ในมือนั้น หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เขาทำได้อย่างไร?
เหตุใด “ส.ว.” จึงต่างตบเท้ารับฟังคำสั่งเหล่านั้นราวกับ “ทาสในเรือนเบี้ย”
หากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาพฤติการณ์ของ “ส.ว.” แต่ละคนที่ออกมาโลดแล่นแสดงจุดยืนชี้นำกระแสอยู่ในเวลานี้ แทบจะกล่าวได้ว่า ล้วนแล้วแต่ “มีแผล” มีชนักติดหลังที่พร้อมจะถูกหยิบยกขึ้นมาไล่เบี้ย “เช็คบิล” เอาได้ทุกเมื่ออย่าง ส.ว.ที่ไปมีชื่อพัวพันขบวนการฟอกเงินข้ามแดนพม่า
หรือ “ส.ว.คนดัง” ที่กำลังถูก “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล จ้องเช็คบิลกรณีที่ไปมีชื่อพัวพันกับการนำเอาชายฉกรรจ์ชุดดำเข้าไปบุกยึดวัดบางคลาน หรือวัดหลวงพ่อเงิน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร เพื่อขับไล่และขัดขวางไม่ให้เจ้าอาวาสวัดคนใหม่ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดให้เข้าไปทำหน้าที่จนเป็นที่ฮือฮากันมาแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ ส.ว.ทุกรายต้องกล้ำกลืนฝืนทน “รับใบสั่ง” อย่างศิโรราบ ไม่กล้าฮือกล้าอือ ก็เพราะเมื่อคนเหล่านี้หมดวาระต้องสิ้นสุดสภาพ จะต้องยื่นแสดงบัญชีต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่ต้องแสดงบัญชีก่อน-หลังการเข้าปฏิบัติหน้าที่
ทุกฝ่ายย่อมต้องรู้ด้วยว่า ใครเป็นคนแต่งตั้ง “กรรมการ” ในองค์กรอิสระเหล่านี้ ไม่ว่าจะ กกต. - ป.ป.ช. หรือแม้กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญ ทุกองค์กรเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มี “สาแหรก” ที่กำเนิดมาจากรากเหง้าเดียวกันหมด
ก็เหมือผู้บริหารระดับสูงในองค์กร ป.ป.ช. รายหนึ่งที่ลุกขึ้นมาสาวไส้คนในองค์กรตนเอง และถึงขั้นรุกคืบจะ “ไฝว้” ประธาน ป.ป.ช. แต่กลับถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งเช็คบิลกรณีจงใจยื่นแสดงทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ชนิด “ตายอีกสิบชาติ” ก็อย่าได้คาดหวังว่าจะกลับมายืนในอยู่สังคมได้อีก
อนาคตของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้ง 250 รายนี้ก็เช่นกัน หากถึงเวลาที่ท่าน ส.ว. ผู้ทรงเกียรติสิ้นสุดวาระลงไป และต้องยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินภายหลังพ้นตำแหน่งไปแล้ว หากปรากฏว่าอยู่ในข่าย “ส.ว.นอกแถว” ไม่ปฏิบัติตามครรลอง (และใบสั่ง) ที่ควรจะเป็นแล้ว เมื่อยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ก็เท่ากับเอาคอไปพาดเขียงได้ทุกเมื่อ
หาก “ไอ้โม่ง - Invisible Hand” ที่ว่านี้เห็นว่า ส.ว.รายนี้เป็น ส.ว.นอกแถว หรือจะรวมไปถึงนักการเมืองคนใดเป็นนักการเมืองนอกแถวที่ต้องถูกเช็คบิลแล้ว 100 ทั้ง 100 ไม่มีรอดสักราย สิ้นสุดวาระลงไปแล้วคงไม่ได้กลับไปเลี้ยงหลานไปใช้เงินอย่างสุขสบายแน่ มีแต่จะเดินเข้าซังเต หรือเดินขึ้นโรงขึ้นศาลแทนเท่านั้น
นี่ต่างหาก คือ “ไพ่ตาย” ที่ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กุมอำนาจ (มืด) เอาไว้เบ็ดเสร็จในมือ และพร้อมจะนำมาเป็นเครื่องมือประหัตประหารนักการเมือง หรือกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างไม่ให้ได้ผุดได้เกิดได้ทุกเมื่อ
เหตุนี้จงอย่าได้แปลกใจที่เหตุใด ส.ว.ที่นัดแล้วทำไมไม่(ยอม)มา!!!