ลั่นปล่อยล้มไม่ได้ - เดิมพันลงทุนเขตอีอีซี
หวั่นประมูลใหม่รัฐจ่ายแพงกว่าเดิมแถมอาจเจอค่าโง่อีก งานนี้เดิมพันสูง "สุริยะ"ลุยเต็มสูบ แจ้งเกิดรถไฟเชื่อม 3สนามบินสุดลิ่ม เตรียมแถลงเดินหน้าโครงการหลังประชุมทุกหน่วยงานประเมินผลดี-เสีย เชื่อหากรัฐล้มกระดาน-ประมูลใหม่ได้ไม่คุ้มเสีย กระทบเมืองการบินตอ.-ลงทุนใน อีอีซี และอาจต้องควักเงินร่วมทุนเพิ่มจากโครงการเดิม วงในแนะรัฐปรับรูปแบบ-ลดขนาดโครงการ ต่อขยายแอร์พอร์ตลิงค์แทนดีกว่า
…
หลังจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินลงทุน 224,544 ล้านบาท ในประเด็นต่างๆ ไปตั้งแต่วันที่ 13 ต.ค.67 แต่ผ่านมากว่า 2 เดือน กลับยังไม่มีการเสนอมติ กพอ. ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ จนส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์การก่อสร้างที่วางไว้ และทำให้โครงการนี้ยังคงยืนอยู่บนเส้นด้าย
ล่าสุด มีรายงานว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งเชิญผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุดเข้าร่วมให้ความเห็นเพื่อแก้ไขปัญหาโครงการนี้ที่ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว นับแต่การรถไฟฯ ลงนามในสัญญากับบริษัท เอเซีย เอราวัน จำกัด ของกลุ่มทุน ซีพี. ผู้รับสัมปทาน
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีการถกเถียงอย่างกว้างขวางต่อโครงการที่ยังไม่สามารถเดินหน้าก่อสร้างได้ เพราะติดปัญหาต่างๆ รวมทั้งแนวทางในการบอกเลิกสัญญาสัมปทาน โดยก่อนหน้านี้ในรัฐบาลนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้นำคณะร่วมหารือกับ "เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์" และผู้บริหารบริษัทผู้รับสัมปทานต่อการตัดสินใจที่จะเดินหน้าโครงการนี้ต่อหรือไม่ โดยกำหนดเงื่อนเวลาที่บริษัทผู้รับสัมปทานจะต้องให้คำตอบแก่รัฐบาลภายในเดือน เม.ย. 2568 นี้
#ต้นตอปัญหา: คนละระบบกับรถไฟไทย-จีน
ทั้งนี้ ต้นตอของปัญหาหลักที่บริษัท เอเซีย เอรา วัน เผชิญ นอกจากผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ตัวเลขประมาณการต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป จนส่งผลต่อการระดมทุนแล้ว
ยังพบปัญหาด้านเทคนิคของการก่อสร้างโครงการในส่วนที่ทับซ้อนกับโครงการรถไฟไทย-จีน หรือ Superstructure ที่รัฐบาลได้อนุมัติโครงการไปก่อนหน้า ซึ่งพบว่าเป็นคนละระบบกัน มีปัญหาด้านเทคนิคที่ไม่สามารถจะใช้โครงสร้างร่วมกันได้ตั้งแต่สถานีพญาไท-สถานีศูนย์กลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ดอนเมือง การสร้างโครงสร้างร่วมต้องใช้เงินลงทุนสูงมากเกินกว่าเงื่อนไขสัญญา
เหตุนี้ ทางซีพีผู้รับสัมปทาน จึงยื่นข้อเสนอให้รัฐสนับสนุนเงินลงทุนส่วนเกินในการก่อสร้าง Superstructure ร่วม 10,000 ล้านบาท รวมทั้งยื่นข้อเสนอด้านการเงินอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาจากการระดมทุนที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมยืนยันว่า หากได้รับการสนับสนุนจากรัฐบริษัทก็พร้อมจะสามารถเดินหน้าโครงการต่อไป
#หวั่นเลิกสัญญาฟ้องกันนัวเนีย
ส่วนแนวทางการบอกเลิกสัญญาสัมปทาน เพื่อเปิดประมูลหาเอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการนั้น ที่ประชุมเห็นว่า น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะจะนำมาซึ่งปัญหายุ่งยากตามมาเช่นเดียวกับโครงการโฮปเวลล์ก่อนหน้า
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นว่า หากรัฐบอกเลิกสัญญาโครงการนี้ แม้การรถไฟฯ จะสามารถรับไม้ต่อในการดำเนินโครงการต่อไปได้ แต่ศักยภาพของการรถไฟฯ ในการดูแลโครงการนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าไม่น่าจะทำได้ดีนัก เนื่องจากการรถไฟฯ มีภาระในการดูแลการก่อสร้างโครงการรถไฟไทย-จีนที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ทั้งยังมีโครงการการสร้างทางคู่ระยะ 2 ที่ต้องดำเนินการอีกหลายสาย
ส่วนการเปิดประมูลหาเอกชนรายใหม่เข้ามาดำเนินการนั้น ที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า แม้อาจมีผู้สนใจเข้ามาลงทุน แต่วงเงินลงทุนโครงการใหม่น่าจะเพิ่มขึ้นไปจากเดิมหลายเท่าตัว ส่งผลกระทบต่อวงเงินสนับสนุนการก่อสร้างที่ ครม. อนุมัติกรอบวงเงินเอาไว้เดิมจำนวน 119,000 ล้านบาท อาจเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงเห็นว่า แนวทางในการเจรจาแก้ไขสัญญากับบริษัทเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด
ขณะเดียวกันที่ประชุมยังตั้งข้อสังเกต หากโครงการนี้ไม่เกิดขึ้นไม่เพียงกระทบไปถึงโครงการลงทุนอื่นๆ ในเขตอีอีซี ทั้งการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร (กาสิโน) แล้ว ยังกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนในเขตอีอีซีในภาพรวมอีกด้วย
"เมื่อที่ประชุมร่วมเห็นชอบกับแนวทางนี้ นายสุริยะจึงตัดสินใจที่จะผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าต่อไป โดยจะนำเสนอมติคณะกรรมการ กพอ. ต่อที่ประชุม ครม. และเตรียมเปิดแถลงข่าวถึงเหตุผลที่รัฐจำเป็นต้องผลักดันโครงการนี้ให้เดินหน้าต่อไป เพราะถือว่าเป็นโครงการสำคัญที่จะชี้ชะตากรรมการลงทุนในเขตอีอีซีในภาพรวมด้วย"
#แนะรัฐลดขนาดโครงการ-ขยายแอร์พอร์ตลิงค์
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระบบขนส่งระบบรางได้แนะนำให้รัฐบาลปรับรูปแบบโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินใหม่ โดยลดขนาดโครงการลงไป ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถไฟความเร็วสูง "ไฮสปีดเทรน" แต่ควรปรับรูปแบบมาเป็นการขยายรถไฟฟ้า "แอร์พอร์ตลิงค์" ไปถึงสนามบินอู่ตะเภาแทน ซึ่งจะทำให้วงเงินลงทุนต่ำกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ไม่เกิดปัญหาด้านเทคนิคกับโครงการรถไฟไทยจีน รวมทั้งยังจะทำให้โครงการมีความน่าสนใจและมีผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ รูปแบบโครงการเดิมที่ใช้รถไฟความเร็วสูง ความเร็วเฉลี่ย 250 กม./ชั่วโมง โดยมีวงเงินลงทุน 160,000 ล้านบาท (จากวงเงินลงทุนรวม 2.24 แสนล้าน) นั้น เงื่อนไขดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพการให้บริการที่เป็นจริง เมื่อเผชิญกับปัจจัยหลาย ๆ ด้านที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะปริมาณผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ จึงทำให้ความคุ้มค่าในการลงทุนลดลงไปโดยปริยาย
เพราะด้วยระยะทางที่สั้นเพียง 220 กม. แต่มีจำนวนสถานีถึง 8 สถานี โดยแต่ละสถานีอยู่ห่างกันแค่ 20-25 กม.เท่านั้น ทำให้กลายเป็นข้อจำกัดในการทำความเร็ว ทำให้ไม่สามารถจะใช้ความเร็วสูงถึง 200-220 กม. ได้ ยกเว้นสถานีฉะเชิงเทรา-ชลบุรีเท่านั้นที่มีระยะทางราว 30 กม. ส่วนสถานีที่เหลือสามารถทำความเร็วสูงสุดได้แค่ 200 กม.เท่านั้น และไม่ว่าจะใช้รถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟธรรมดา หรือ “ซิตี้ไลน์” ความเร็ว 160-200 กม. ระยะเวลาในการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังสนามบินอู่ตะเภาก็ใช้เวลาใกล้เคียงกัน แตกต่างกันเพียง 15 นาทีเท่านั้น
“ไหนๆ รัฐบาลก็มีแผนจะเจรจาแก้สัญญากับผู้รับสัมปทานอยู่แล้ว ก็น่าจะถือโอกาสนี้ สังคายนาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนี้ใหม่ โดยปรับรูปแบบการลงทุนมาเป็นการขยายรถไฟฟ้า "แอร์พอร์ตลิงค์" ไปยังสนามบินอู่ตะเภาแทน ซึ่งปัจจุบันรถไฟความเร็วธรรมดา หรือ "ซิตี้ไลน์" ตามมาตรฐานยุโรป สามารถทำความเร็วได้เฉลี่ย 200 กม. อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนก่อสร้างโครงการต่ำลงไปมากกว่า 30-40% เหลืออยู่ราว 60,000-70,000 ล้านบาทเท่านั้น และจะทำให้ประชาชนผู้ใช้บริการโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการได้ด้วย ไม่ใช่หวังแต่นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเท่านั้น”
แหล่งข่าวระบุว่า แนวทางดำเนินการดังกล่าวอาจเป็นการดำเนินการโดยการรถไฟฯ เอง หรือหากยังคงให้สัมปทานแก่เอกชนก็คงต้องมีการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานใหม่ยกกระบิ เพราะหากยังคงดันทุรังจะให้กลุ่มทุน ซีพี. ดำเนินการไปตามกรอบสัญญาสัมปทานเดิม ก็เชื่อแน่ว่า เอกชนผู้รับสัมปทานจะประวิงเวลาก่อสร้างดั่งที่เป็นอยู่ จ่อจะกลายเป็นมหากาพย์โฮปเวลล์ 2 ไปอีกโครงการอย่างแน่นอน!!!