ทำเอาอุณหภูมิทางการเมืองเดือดปุด ปุด สวนอากาศหนาวขึ้นมาทันที!
กับเรื่องที่ อดีตนายกฯ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย (พท.) ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยลูกพรรคหาเสียงชิง "นายกฯ อบจ.เชียงราย" ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
…
และได้กล่าวถึงทิศทางราคาพลังงานบ้านเรา โดยเฉพาะค่าไฟในมือประชาชน ที่อดีตนายกฯ ระบุว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะกดค่าไฟในมือประชาชนให้ถูกลงไปอีกจนเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย โดยเรื่องนี้ได้มีการหารือกับ รมต.พลังงาน ถึงแนวทางที่จะดำเนินการบ้างแล้ว
ทำเอาประชาชนที่มาฟังการปราศรัยปรบมือกันเกรียว เครือข่ายพลังงานต่างหูผึ่งขานรับกันเซ็งแซ่ แต่ในส่วนของนักลงทุนในตลาดหุ้นกลับ "ขวัญกระเจิง" นัยว่า พิษลมปากอดีตนายกฯ ทักษิณ ทำเอาราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน "ร่วงกราวรูด" ไม่ต่างจากช่วงที่รัฐบาลและกระทรวงการคลัง "จุดพลุ" จะปรับขึ้นแวต 15% หรือปลุกผีเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้นก่อนหน้า
#ขบเหลี่ยมหรือขับเคลื่อน นโยบายพลังงาน
แม้จะยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงพลังงานจะหาวิธีใด หรือมีวิธีการใดในการกดค่าไฟฟ้าลงไปจนเหลือ 3.70 บาท/หน่วยได้ แต่หลายฝ่ายก็อดคิดไม่ได้ว่า หากรัฐบาลทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ สามารถปรับลดค่าไฟลงมาเหลือ 3.70 บาท หรือจะ 4 บาทก็ตามแต่
จะถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลเพื่อไทย หรือผลงานของกระทรวงพลังงาน ภายใต้บังเหียนของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แห่งพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่สื่อทำเนียบสัพยอกให้ฉายาซะ "เสียมู้ด" ว่า "พีระพัง" ไปก่อนหน้า....
ก่อนจะตื่นจากฝัน (อันเคลิบเคลิ้ม) ในเรื่องของค่าไฟ 3.70 บาทที่ว่า ทั่น "นายกฯ แพทองธาร" และพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ลองย้อนกลับไปตรวจสอบการดำเนินนโยบายของกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาว่าได้ "ขานรับ" สอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยแค่ไหนกันบ้างหรือ?
ขนาดมติ "คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ" (กพช.) ล่าสุด ที่ "นายกฯ แพทองธาร" นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานที่มีมติให้พลังงานไปเร่งรัดนโยบาย 3-4 เรื่องสำคัญๆ ทั้งการเร่งรัดเคลียร์หน้าเสื่อการสรรหากรรมการ กกพ. ที่ว่างลง 4 คน จนทำให้ กกพ. เกิด "สุญญากาศ" อยู่เวลานี้
รวมทั้งให้เร่งรัดโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดเฟส 2 จำนวน 3,586 MW ที่เป็นเทรนด์ของโลก เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งเร่งรัดนโยบายซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดเสรี (PPA)
แต่คล้อยหลังมติ กพช. ไม่ถึงเดือน รมต.พลังงาน กลับลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวกระตุกเบรกกระบวนการสรรหากรรมการ กกพ. และระงับโครงการรับซื้อไฟสะอาดทั้งหลายแหล่ แถมยังมีมติให้ทบทวนมติ กพช. ในอดีตยกกระบิ หันมาขยายรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเก่าแก้ขัดไปแทน
ทั้งยังออกมาสัพยอกสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าในมือประชาชนแพงระยับส่วนหนึ่ง ก็เพราะระบบการจำหน่ายไฟฟ้าที่ผ่าน 3 การไฟฟ้า ไม่ได้อยู่ในมือของกระทรวงพลังงานเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถจะขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้
ล่าสุด ยังลุยไฟตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการประมูลขุด-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) วงเงินกว่า 7,250 ล้านบาท แถมไปด้วยอีก! ด้วยข้ออ้างเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส ตามนโยบาย "พัง" ขบวนการโกงกินค่าไฟและพังนายทุนพลังงานทั้งหลายแหล่
ทำเอาประธานบอร์ดการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กฟผ.) ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนก็ปลัดกระทรวงพลังงาน คน "กากี่นั๊ง" ของทุน รมต.พลังงานเองนั่นแหล่ะ ถึงกับควันออกหู ออกมาระบุว่า ผลพวงจากการที่กระทรวงพลังงานติดเบรกโครงการขุด-ขนถ่านหินเหมืองแม่เหมาะครั้งนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกราว 8 สตางค์/หน่วย จากการที่ต้องสั่งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันและก๊าซแทนถ่านหินที่หยุดชะงักไป
มะรุมมะตุมกันจนไม่รู้เหนือรู้ใต้กันขนาดนี้ ฯพณฯ ท่าน ยังฝันจะกดราคาไฟในมือประชาชนให้ลดลงเหลือ 3.70 บาทได้อีกหรือ?
#สอบประมูลงาน กฟผ. หรือสอบ "บิ๊กโจ๊ก" ภาค 2?
กับเรื่องที่ รมต.พลังงาน สั่งระงับโครงการขุด-ขนถ่านหินเหมืองแม่เมาะของ กฟผ.ตามสัญญาที่ 8/1 วงเงิน 7,250 ล้านบาทไว้ก่อน ด้วยข้ออ้างเพื่อตรวจสอบความโปร่งใส หลังจากกระทรวงพลังงานได้รับร้องเรียนความไม่ชอบมาพากลในการประกวดราคาโครงการนี้ที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์จากบอร์ด กฟผ. ที่เคยทักท้วงในที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองไปแล้วแต่ไม่เป็นผล
จึงต้องอาศัยคำสั่ง รมต.พลังงาน สั่งระงับการดำเนินการทำสัญญาหรือดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับโครงการนี้ไว้ก่อน ก่อนจะตั้งคณะกรรมการขึ้นตรวจสอบโครงการนี้อย่างถึงพริกถึงขิง โดยมี พล.ต.ท เรวัช กลิ่นเกษร มือปราบเลื่องชื่อ อดีต ผบก.ตำรวจสันติบาล และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ มือปราบไซเบอร์ ผบช.สอท. เป็นประธานและกรรมการตรวจสอบด้วย
แค่ชื่อชั้นคณะกรรมการตรวจสอบที่ตั้งขึ้นมาล่าสุดตามคำสั่ง รมต.พลังงาน ลงวันที่ 25 ธ.ค. 67 นั้น ใครหน้าไหนก็ไม่กล้า "ด้อยค่า-ปรามาส" หรือวิพากษ์เสียๆ หายๆ ได้ แต่ละคนนั้นได้ชื่อว่า 1 ในตองอูด้านปราบปรามอย่างถึงลูกถึงคน "ใครหน้าไหนก็ไม่อยากไว้"
บางคนถึงกับเอาไปเปรียบ นี่ยิ่งกว่าออกรายการ "โหนกระแส" เสียอีก! ยิ่งดูรายชื่อกรรมการตรวจสอบทั้งคณะด้วยแล้ว นอกจาก พล.ต.ท.เรวัช และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ แล้ว 9 คนที่เหลือล้วนเป็นนายตำรวจฝีมือดีทั้งนั้น เรียกได้ว่า ขนกันมาทั้งกรมก็ว่าได้
จนไม่แน่ใจว่าความคาดหวังของท่าน รมต.พลังงาน ที่มีต่อกรณีนี้ต้องการจะลากผลสอบไปถึงไหน อยากให้ กฟผ. ทบทวนผลประมูลหรือล้มโต๊ะ-ประมูลใหม่ เปิดทางให้บริษัทรับเหมา "เสือดำ" ที่ถูกเขี่ยตกสเปคเข้าร่วมให้ได้ หรือต้องการผลสอบข้อเท็จจริงแบบไหนกันแน่
เพราะเห็นตั้งนายตำรวจมือปราบกันมาซะเต็มลำเรือ! จนไม่แน่ใจว่าท่าน รมต.พลังงาน กำลังตั้งกรรมการสอบ "บิ๊กโจ๊ก" ต่อภาค 2 หรือตรวจสอบกรณีประมูลขุด-ขนถ่านหินกันแน่!
คำถามที่สังคมคลางแคลงใจ ก็คือ หากผลการตรวจสอบนี้ต้องยืดเยื้อกันไป 3-6 เดือน จนส่งผลกระทบต่อแผนการผลิตไฟฟ้าและเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าในภาพรวม และทำให้ กฟผ. ต้องสั่งเดินเครื่องผลิตไฟจากน้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ หรือต้องนำเข้า LNG ทดแทนถ่านหินที่ขาดไป จนส่งผลต่อต้นทุนราคาค่าไฟฟ้าที่ต้องเพิ่มอีก 8 สตางค์ต่อหน่วย ตามที่ประธานบอร์ด กฟผ. (ปลัดกระทรวงพลังงาน) ระบุก่อนหน้า
ใครล่ะที่ต้องรับผิดชอบ?
#ปฏิรูปพลังงานให้ "สุดซอย"
กับความมุ่งหวังของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่ต้องการเห็นค่าไฟในมือประชาชนลดลงไปเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วย ขณะที่ รมต.พลังงาน ก็ออกมาขานรับ โดยระบุต้นตอที่ทำให้ค่าไฟแพง ส่วนหนึ่งมาจากระบบการจำหน่ายไฟฟ้าที่ต้องผ่านสายส่ง กฟผ. ไปยัง 2 การไฟฟ้า กฟน. - กฟภ. ที่ฟันกำรี้กำไรอีก 2 เด้ง และหน่วยงานการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งนี้ ไม่ได้อยู่ในสังกัดพลังงาน เป็นมาตั้งแต่ปี 2511 เกือบ 55 ปีมาแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายต่างรู้อยู่เต็มอก
ที่จริงหนทางปฏิรูปพลังงานให้ "สุดซอย" นั้น เคยมีการนำเสนอมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ... (รายละเอียดตามรายงาน... โจทย์ใหญ่ปฏิรูปพลังงาน http://www.natethip.com/news.php?id=7555)