เสียงหนุนรัฐบาลในสภาฯ นำ “10 รมต.” เหยื่อซักฟอก! กลับไปทำงานต่อ แต่นั่น...อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการไม่ฟังเสียงและไม่เคารพ “เสาหลักประชาธิปไตย - จอมปลอม” และกรณีเมียนมา จึงอาจส่งผลกระทบวงกว้างต่อระบบการเมืองไทย
หากอีกฟากหนึ่งเป็นรัฐบาล...ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ คงถูกกล่าวหาทำนอง “พวกมากลากไป” ถึงขั้นเป็น “เผด็จการรัฐสภา”
แต่เพราะไม่ใช่! ปรากฏการณ์ “สาดสี” ทั้งจากพรรคการเมืองและกองเชียร์นอกสภาฯ จึงไม่มีให้เห็นจาก...ฝ่ายค้านที่มีแกนหลักพรรคใหญ่ อย่าง...พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคเสรีรวมไทย รวมถึงพรรคเล็กอื่นๆ ร่วมสงครามน้ำลายในสภาผู้แทนราษฎร เหมือนเช่นที่ผ่านมา
สังคมไทยพอเข้าใจได้...ในเมื่อพรรครัฐบาลมีเสียงในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่าฝ่ายค้าน และเมื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ คละกันไปในพรรคหลักๆ ที่ร่วมรัฐบาล ทุกเสียง ส.ส.ฝั่งรัฐบาล จึงขมวดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
ไม่มีการสร้างภาวะ “เสียงแตก” ให้ได้เห็น...
แม้ “ส.ส.ดาวเด่น” ในสภาผู้แทนราษฎร จากซีกพรรคฝ่ายค้าน...หลายต่อหลายคน จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึก! ตีแผ่...ประจาน และลากไส้ของรัฐมนตรีบางคน? ในรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม...ออกมาให้สังคมไทยได้รู้เช่นเห็นชาติกัน
แล้วไง? ทำอะไรได้บ้าง?
ดูจากเสียงสนับสนุนของรัฐมนตรีทั้ง 10 คน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ได้คะแนนสูงสุด! อย่าง...นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่ได้รับคะแนนไว้วางใจ 275 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 6 ไม่ลงคะแนน 0
ต่ำสุด! อย่าง...นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ที่ได้รับคะแนนไว้วางใจแค่ 258 ไม่ไว้วางใจ 215 งดออกเสียง 8
หรือแม้แต่ตัวของ พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กระทั่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
ทุกคน...รวมถึงคนอื่นๆ ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในรอบนี้ ต่างก็ได้รับเสียงสนับสนุนมากกว่าคะแนนไม่ไว้วางใจ กระทั่งจะกลับไปทำงานของตัวเองได้ตามปกติ
เห็นได้ว่า...รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และความมีผลประโยชน์ในทางการเมือง ผูกโยงและเกี่ยวพันกันในแบบเหนียวแน่นนั้น
อาจจะถูกทำลายจากการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายๆ โดยเฉพาะตามวิถีทางแห่งระบบรัฐสภา
และหากจะมียก 2 ยก 3 ตามมา...บนเวที “คดีความ” ที่บรรดานักการเมืองทั้งหลาย ส่วนใหญ่มักไม่คิดอยากจะค้าความสักเท่า ยกเว้น! เลี่ยงกันไม่ได้จริงๆ จำเป็นต้องทำ...ก็ต้องทำ
และดูเหมือนจะมีใครอีกหลายคน? ทำในสิ่งที่ “คนนอก ครม.” อย่าง...นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง ประกาศจะยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี กับ...นายสุทิน คลังแสง จากพรรคเพื่อไทย ตามมา...
ส่วนจะเข้าทางใคร? อย่างไร? เป็นสิ่งที่ต้องรอดูกันต่อไป
แต่ที่แน่ๆ ส.ส.ฝ่ายค้าน ฝีปากจัดจ้านบางคน? โดยเฉพาะ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่กล้านำเอาข้อมูลการซื้อขายตำแหน่ง “นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่” มาเปิดเผยระดับ “ลึกลับ” ผ่านจากจอโทรทัศน์ ถึงบ้านเรือนของประชาชนคนไทย ที่เฝ้าดูการถ่ายทอดสดและไม่สดของศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้
ชีวิตจากนี้ของเขา...คงจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เจ้าตัวเองก็รู้...รู้ว่า จะมี “โอษฐภัย” ในระดับ “มหันตภัย” เข้ามาในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน และไม่เกิน 3 เดือนนับจากนี้
ถ้าคนระดับ ส.ส. ยังต้องผจญกับ “โอษฐภัย” ถึงขั้น...ล้มหายตายจาก! เพราะน้ำมือของกลุ่มคนที่ถูกนำข้อมูลเชิงลึกมาเปิดเผยล่ะก็
บ้านเมืองนี้...คงอยู่กันยากแล้ว!!!
ครั้นจะหวังพึ่งพิง...ระบบรัฐสภา หรือในความคิดของคนอีกกลุ่ม? อาจเหมารวมไปถึง...ระบบศาลสถิตยุติธรรม ด้วย
ซึ่งนั่น...จะทำให้ “3 เสาหลัก” ของบ้านเมือง ทั้ง ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ หาใช่ “เสาหลัก” แห่งการพึ่งพิงของคนกลุ่มนี้อีกต่อไป
ยิ่งสถานการณ์การชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตย ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่าง...เมียนมา ซึ่งฝ่ายกองทัพ เริ่มเสียงแตก! และเสียแนวร่วม ทั้งจาก...อาจารย์นักวิชาการ ดาราศิลปินนักแสดง ข้าราชการ หมอและบุคลากรทางการแพทย์ แม้กระทั่ง...คนมีสี เช่น ตำรวจและทหารบางกลุ่ม? ที่เริ่มออกอาการไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหารของกองทัพในครั้งนี้ มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่แน่ว่า...ปลายทางแล้ว จะเป็นฝ่ายกองทัพเมียนมา ที่จะได้รับชัยชนะเสมอไป... หากประชาชนและฝ่ายประชาธิปไตยมีชัยชนะเหนือกองทัพเมียนมา...
สิ่งนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อสถานภาพและเสถียรภาพของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไม่ต้องสงสัย?
ที่สุด! เสียงของเจ้าของประเทศ...ย่อมใหญ่เหนือเสียงอื่นใดเสมอ!