“PTG” โชว์ผลประกอบการปี 63 กำไรเพิ่มกว่า 22% รักษาระดับการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม รั้งตำแหน่งยอดขายเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ ปี 64 ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณจำหน่ายน้ำมัน 8-12% คาด EBITDA โต 10-15% เตรียมทุ่มงบ 4,000-4,500 ล้านบาท รุกขยายปั๊มน้ำมันและแก๊ส LPG รวม 100 -150 แห่ง พร้อมจ่ายปันผล 0.5 บาท
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2563 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,906 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA) 6,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,046 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและการตลาดที่อยู่ในระดับปกติ ประกอบกับมีการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากไม่นำผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 มาคำนวณ บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาท หรือคิดเป็น 37% จากปีที่แล้ว
โดยมีรายได้จากการขายและการบริการรวม 104,423 ล้านบาท ลดลง 15,604 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันโลก จากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด – 19 ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเฉลี่ยลดลงถึง 16% และส่งผลต่อเนื่องทำให้ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 แต่ในช่วง 9 เดือนที่เหลือ ราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และราคาค้าปลีกน้ำมันปรับตัวสอดคล้องกับราคาต้นทุนน้ำมัน ทำให้ค่าการตลาดของธุรกิจน้ำมันกลับมาอยู่ในระดับปกติ
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม เนื่องจากปริมาณจำหน่ายน้ำมันโดยภาพรวมอยู่ที่ 34,837 ล้านลิตร หรือลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ โดยมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันอยู่ที่ 4,959 ล้านลิตรหรือเติบโต 5.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าที่บริษัทฯ วางไว้ที่ 6 - 10% และในปี 2564 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน 8 - 12% จากปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2563 สามารถขยายสาขาสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG ได้ตามเป้าที่วางไว้รวมอยู่ที่ 67 สถานี จากที่กำหนดไว้ 50-100 สถานี ส่งผลให้บริษัทฯ มีสถานีบริการรวม 2,094 แห่งทั่วประเทศ และจากการควบคุมการลงทุน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ ใช้เงินลงทุนในการขยายธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil) และธุรกิจใหม่ รวม 2,043 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 3,000-3,500 ล้านบาท รวมถึงการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Palm Complex ที่ดำเนินการโดยบริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ซึ่งบริษัทฯ ถือหุ้น 40% โดยรับรู้กำไรเป็นจำนวน 353 ล้านบาท อีกด้วย
“สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 ยังคงมุ่งเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการขยายจำนวนสถานีบริการให้ครอบคลุมการเพิ่มการให้บริการที่มีความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ตรงจุดได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าในปีนี้เศรษฐกิจของประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนจากการระบาดของไวรัสคิด-19 ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ แต่บริษัทฯ ยังคาดว่าจะเห็นการเติบโตในอุตสาหกรรมน้ำมันโดยรวม และจะสามารถรักษาระดับการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ โดยได้ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในปีนี้อยู่ที่ 8 - 12%”
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า โดยในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสถานีบริการน้ำมันและแก๊ส LPG อีก 100 – 150 แห่ง รวมถึงขยายการให้บริการธุรกิจแก๊ส LPG ครัวเรือน จากการเพิ่มสาขาการให้บริการ Gas Shop อีก 50 แห่ง ในส่วนของธุรกิจ Non-Oil ในปีนี้ คาดว่าจะเพิ่มจำนวนสาขา Non-Oil อีก 100 – 150 สาขา เพื่อให้บริการที่หลากหลายและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นการคัดสรรธุรกิจใหม่ๆ ที่ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รอบด้านมากขึ้น ซึ่งได้จัดสรรงบการลงทุนไว้ประมาณ 4,000 – 4,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายสาขาของธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ จากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติให้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายปันผลประจำปี 2563 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหุ้น จำนวน 1,670 ล้านหุ้น รวมเป็นเงินปันผล 835 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนของบริษัทวันที่ 12 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564