
เมื่อรัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าระบบ 3 ครั้ง รวมเป็นเม็ดเงินประมาณ 4.5-5 แสนล้านบาท ปิดโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ภายในไตรมาส 2/68 จะช่วยฉุดกำลังซื้อภายในประเทศให้กระเตื้องขึ้น เมื่อรวมกับปัจจัยเรื่องการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การส่งออก การค้าขายชายแดน และการท่องเที่ยว จบปี 68 น่าจะได้เห็น “จีดีพี” ของประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.5-4%
…
รัฐบาลพรรคเพื่อไทย แจกเงินหมื่น (โครงการดิจิทัล วอลเล็ต) กระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว 2 ครั้ง เพื่อปลุกกำลังซื้อภายในประเทศครั้งแรกวงเงิน 1.45 แสนล้านบาท โอนให้กับประชาชนเมื่อเดือน ก.ย.67 และครั้งที่ 2 เพิ่งโอนเมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 ประมาณ 30,500 ล้านบาท รวมกัน 2 ครั้ง มีผู้ได้รับเงิน 10,000 บาท เกือบๆ 18 ล้านคน

สำหรับเงินหมื่นครั้งที่ 2 นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวว่า จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวได้ประมาณ 0.1% ซึ่งจากข้อมูลของการแจกเงินครั้งที่ 1 ในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นโครงการที่ช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ ประชาชนนำไปใช้จ่าย และลงทุนต่อยอด ทำให้เศรษฐกิจไทยมีโมเมนตัมที่ดี เป็นการเตรียมความพร้อมของเศรษฐกิจในช่วงต่อไป ทั้งในช่วงไฮท์และโลว์ซีซั่น
ทางด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า สำหรับเฟส 3 ตอนนี้ได้เตรียมงบกลางไว้ประมาณ 1.60 แสนล้านบาท สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนผ่าน “แอปทางรัฐ” น่าจะได้รับเงินหมื่นในช่วงต้นเดือนเม.ย.68 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อทั่วประเทศ ช่วงไตรมาสที่ 2 (เม.ย.-มิ.ย.68)
“เสือออนไลน์” คุยกับทีมเศรษฐกิจในรัฐบาล มองว่า เศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงปลายปี 67 จนถึงปัจจุบัน มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นทิศทางของการส่งออก จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยการส่งออกของไทยเดือน ธ.ค. 67 มีมูลค่า 24,765.9 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 8.7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 10.4% และภาพรวมการส่งออกทั้งปี 67 ทำมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยการส่งออกในรูปของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ พุ่งทะยานสู่ระดับ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรก ขยายตัว 5.4% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 306,809.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 6.3%

รวมทั้งสถานการณ์การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ทั้งปี 67 (ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ) มีมูลค่าการค้ารวม 1,815,666 ล้านบาท ขยายตัว 6.1% เมื่อเทียบกับปี 66 เป็นการส่งออก 1,048,479 ล้านบาท และนำเข้า 767,188 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับมาเลเซีย มีมูลค่าสูงสุด 306,679 ล้านบาท สปป.ลาว 286,775 ล้านบาท เมียนมา 208,937 ล้านบาท และกัมพูชา 174,530 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เกี่ยวกับการจัดตั้งธุรกิจใหม่ตลอดปี 67 มีจำนวน 87,596 ราย เพิ่มขึ้น 2,296 ราย ขยายตัว 2.69% เทียบกับปี 66 ทุนจดทะเบียนรวม 285,745 ล้านบาท ส่วนการจดทะเบียนเลิกปี 67 จำนวน 23,679 ราย เพิ่ม 1.28% เทียบกับปี 66 ทุนจดทะเบียนเลิกสะสม 171,180 ล้านบาท
โดยภาพรวมของสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งและจดเลิกปี 67 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี จากปัจจัยการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว สร้างการจ้างงานมากขึ้น ซึ่งธุรกิจจัดตั้งใหม่ปี 67 ถือเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่มีการเปิดให้บริการจดทะเบียนมาแล้วกว่า 100 ปี สำหรับปี 68 คาดว่า จะมีธุรกิจตั้งใหม่เพิ่มอีก 2-4% หรืออีก 90,000-95,000 ราย ส่งผลให้นิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ แตะ 1 ล้านราย ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกปี

ขณะที่ “บีโอไอ” ระบุว่า ปี 67 เป็นปีทองของการลงทุน เนื่องจากมีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 3,137 โครงการ เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน นับว่าเป็นยอดจำนวนโครงการที่สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบีโอไอ และมีมูลค่าเงินลงทุน 1,138,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% สูงสุดในรอบ 10 ปี

ในส่วนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยตลอดปี 67 (1 ม.ค. - 31 ธ.ค.67) มีจำนวนรวม 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% เทียบกับปีที่แล้ว สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เทียบกับปีที่แล้ว และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.68-26 ม.ค.68 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยกว่า 3 ล้านคน

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศได้เพียง 1 ปี 4 เดือน (นับจากเดือน ก.ย.66) แต่ได้ลงนามความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไปแล้ว 2 ฉบับ คือ FTA ฉบับที่ 15 ระหว่างไทย-ศรีลังกา ในยุครัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และ FTA ฉบับที่ 16 กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (EFTA) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และ ลิกเตนสไตน์ ถือเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป ที่ลงนามในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เมื่อวันที่ 23 ม.ค.68

เมื่อรัฐบาลอัดฉีดเงินเข้าระบบ 3 ครั้ง รวมเป็นเม็ดเงินประมาณ 4.5-5 แสนล้านบาท ปิดโครงการดิจิทัล วอลเล็ต ภายในไตรมาส 2/68 จะช่วยฉุดกำลังซื้อภายในประเทศให้กระเตื้องขึ้น
เมื่อรวมกับปัจจัยเรื่องการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน การส่งออก การค้าขายชายแดน และการท่องเที่ยว จบปี 68 น่าจะได้เห็น “จีดีพี” ของประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3.5-4% เสียที!
เสือออนไลน์