การเมืองไทยเข้าสู่โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ทำให้สนามเลือกตั้งเข้มข้นขึ้นทุกขณะก่อนหย่อนบัตรวันที่ 24 มีนาคมนี้ เช่นเดียวกัน หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็ร้อนแรง โดยจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองเดินหน้าชูนโยบายที่เป็นหมัดเด็ดเพื่อเรียกคะแนนเสียง
ล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ ประกาศนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400-424 บาท จาก 325-340 บาทต่อวัน และปรับเพิ่มอัตราเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีขึ้นเป็นเดือนละ 2 หมื่นบาท จากเดิม 1.5 หมื่นบาท และอาชีวะ ให้เงินเดือน 1.8 หมื่นบาท จากเดิม 1-1.5 หมื่นบาท รวมไปถึงนโยบายภาษีเงินได้
ความเห็นของนักวิเคราะห์ ต่อนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนสูงขึ้นจากค่าแรง โดยบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองว่าถือเป็นสัญญาณลบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร รับเหมาก่อสร้าง ร้านอาหารและบริการ และกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี
อย่างไรก็ตาม เหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอ เมื่อมีหุ้นที่ได้ผลกระทบเชิงลบ ก็ต้องมีหุ้นที่ได้รับผลบวกจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เพราะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับมนุษย์เงินเดือน ทำให้ชีวิตอยู่ดีกินดีขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้เพิ่มอำนาจซื้อ และจับจ่ายใช้สอย โดยเฉพาะสินค้าพื้นฐานในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือ สินค้าเพื่อการอุปโภคและบริโภค ดังนั้น กลุ่มที่ได้ประโยชย์ คือ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มสื่อโฆษณา
จากการส่องบทวิเคราะห์ของหลายๆ โบรกเกอร์ ก็พบว่า แน่นอนที่สุด หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายการหาเสียงเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ หนีไม่พ้นหุ้นพิมพ์นิยมในกลุ่มค้าปลีก คือ บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) เจ้าของร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ 7-11 ที่ผุดเป็นดอกเห็ดอยู่ทั่วประเทศ เข้าถึงประชาชนฐานรากมากที่สุด
นอกจากนี้หุ้น CPALL ยังมีประเด็นเติบโตจากโอกาสได้สิทธิ์เปิดร้าน 7-11 ในกัมพูชา และ สปป.ลาว
ด้านหุ้นกลุ่มค้าปลีกตัวอื่นๆ ที่เหล่านักวิเคราะห์มองว่า จะได้รับประโยชน์จากเม็ดเงินที่สะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง นั่นคือ บริษัท โรบินสัน (ROBINS) และบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO)
โฟกัสมาที่หุ้นกลุ่มมีเดีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากนโยบายหาเสียงในการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะเพิ่มงบโมษณาเพื่อดึงดูดกำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ มองว่า บริษัท แพลน บี มีเดีย (PLANB) ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่ากลุ่ม โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน หรือในรอบ 2 เดือนครึ่ง ปรับขึ้นเพียง 5% ขณะที่กลุ่มมีเดีย ปรับขึ้น 9%
ปิดท้ายกันที่ราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ ในที่นี้จะขอคัดมาแค่ 2 ตัว ถือเป็นหุ้นเด่น จากกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มมีเดีย โดยหุ้น CPALL บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) และ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเป้าหมาย 90 บาท บล.คันทรี่ กรุ๊ป 84 บาท บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ให้ 86 บาท
ส่วนหุ้น PLANB บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ให้ราคาเป้าหมาย 8.80 บาท บล.ฟินันเซีย ไซรัส 8.20 บาท และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ให้ราคาเป้าหมาย 7 บาท
หมายเหตุ: เป็นราคาเป้าหมายสิ้นปี 2562
โดย..ซิลลิ่ง