ยุทธวิธีแจกเงิน-เสนอเงิน-เสนอวิธีการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือที่รัฐบาลเรียกว่า “โครงการประชารัฐ” ที่ครอบคลุม ทั้งผู้มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุ ดูเหมือนว่าเป็นยุทธวิธีที่ได้ผล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ”อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” สายรองนายกฯ ”สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” เร่งผลิตผลงานแจกแถมให้กับผู้มีรายได้น้อย แทบไม่เว้นวัน โดยเฉพาะในช่วงหลังของโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ล่าสุด 19 มีนาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ หรือ ”สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องการเสนอแนวทางของการให้เงินเพื่อไปถึงมือผู้มีรายได้น้อย เริ่มต้นด้วย
1. เพิ่มวงเงินสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถให้สินเชื่อแก่ประชาชน จากเดิม 50,000 บาทต่อราย เป็น 100,000 บาทต่อราย
2. ปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับทุนจดทะเบียนหรือเงินลงหุ้นของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับวงเงินที่เพิ่มขึ้น
2.1 กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นขั้นต่ำไว้ที่ 5 ล้านบาท กรณีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ประสงค์จะต้องการให้สินเชื่อแก่ประชาชนไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท
ส่วนผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์อยู่เดิมหากประสงค์จะให้สินเชื่อ เกินกว่า 50,000 บาทต่อราย แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ให้เพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วหรือเงินลงหุ้นจากเดิมไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาท เป็นไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท เพื่อให้สะท้อนถึงความมั่นคงในการประกอบธุรกิจที่มีการให้สินเชื่อต่อรายในวงเงินที่สูงขึ้น
3. ผู้ประกอบธุรกิจอาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ จากลูกหนี้รวมกันแล้วเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) จากเดิมไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี เป็นดังนี้
3.1 วงเงินสินเชื่อ 50,000 บาทแรก อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใดๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 36 ต่อปี
3.2 วงเงินสินเชื่อส่วนที่เกินกว่า 50,000 บาท อาจเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมแล้วไม่เกินร้อยละ 28 ต่อปี
อัดด้วยแคมเปญของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. แม้จะวางกรอบไว้สวยหรูว่า เป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรหรือยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แจกแจงว่า จะช่วยลดต้นทุนต้นทุนการผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และสถาบันเกษตร รวม 65,931 ล้านบาท สนับสนุนนโยบายสังคมไร้เงินสด สนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคให้กับสังคม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการจัดทำโครงการหลายอย่างผ่านการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สนับสนุนการสินเชื่อเพื่อเข้าถึงแหล่งทุน สร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรด้วยโครงการประกันภัยพืชผล และพยายามพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ยังไม่รวมอีกหลายโครงการที่พยายามเร่งสุดกำลังสนองนโยบายรัฐบาลเก็บคะแนนเสียงกันอย่างสุดสุด
ยังไม่รวมกับโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งการเพิ่มเบี้ยยังชีพยังชีพผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีประมาณ 3.5 ล้านคน ให้ได้รับเพิ่มเท่ากันทั้งหมดคนละ 1,000 บาทต่อเดือน จากปัจจุบันที่มีการจ่ายแบบขั้นบันไดอายุ 60-69 ปี รับเงินเดือนละ 600 บาท อายุ 70-79 ปี รับ 700 บาท อายุ 80-89 ปี รับ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป รับ 1,000 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น
มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านให้กับผู้สูงอายุที่ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง และต้องเช่าบ้านอยู่ ซึ่งในส่วนนี้มีพิจารณากรอบการช่วยเหลือเบื้องต้นไว้ 400 บาทต่อคนต่อเดือน รวมถึงมีมาตรการช่วยเหลือค่ารถค่าเดินทางให้กับผู้ป่วยผู้สูงอายุที่เดินทางมารักษาพยาบาล โดยเบื้องต้นอาจให้วงเงินคนละ 500-1,000 บาทต่อเดือน โดยแนวทางอาจเสนอให้มีการโยกวงเงินในบัตรสวัสดิการที่เป็นค่ารถไฟ หรือรถโดยสาร บขส. ซึ่งปกติผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยไม่ได้ใช้ให้มาใช้จ่ายเป็นค่าเดินทางเพื่อรักษาพยาบาลได้
และสั่งให้สำนักงบประมาณไปหาเงินอีก 50,000 ล้านบาท เติมเงินให้กับมาตรการดังกล่าว รวมแล้วต้องใช้เงินถึง 1 แสนล้านบาท โดยมีผู้เข้าโครงการปัจจุบัน 11.4 ล้านบาท และจะเพิ่มเป็น 14.5 ล้านคนภายในปีนี้เป็นผลจากรอบเก็บตกเมื่อกลางปีที่ผ่านมา
ทุกมาตรการต้องใช้เงินทั้งหมด ทุกแคมเปญประดังกันเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง หลังจากที่โพลล์เกือบทุกสำนักไม่เทใจให้กับพรรคพลังประชารัฐของนายกลุงตู่ มาตรการสาดกระสุนแบบง่าย ๆ ต้องงัดเอามาใช้
โดยยังไม่มีใครตอบได้ว่าเงินที่จะนำมาใช้จะเอามาจากไหน แก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันแบบวันต่อวัน เป็นยุทธวิธีที่กระทรวงการคลังในยุคนี้ ทำได้ดีมาก
โดย..คนข้างนอก