นายสมหมาย ภาษี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทอ่อน โดยระบุว่า..
การประกาศขึ้นดอกเบี้ยเงินดอลลาร์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในอัตรา 0.75 % เมื่อวันพุธที่ 21 กันยายน ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะการเงินของประเทศต่างๆทั่วโลกเป็นอย่างมาก การประกาศเพิ่มเติมของประธานเฟดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในการประชุมเฟดในต้นเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมปีนี้เพื่อให้ไล่ทันหรือไล่สกัดอัตราเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ได้นั้น ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับธนาคารกลางทั่วโลกมากยิ่งขึ้น
เพียงวันสองวันให้หลัง หลายประเทศก็ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินของตนให้สูงตามทันที เช่น ประเทศออสเตรเลีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นต้น เข้าใจว่าประเทศอื่นๆ ก็คงทยอยปรับตามมากบ้างน้อยบ้างกันไป ยกเว้นประเทศญี่ปุ่นที่ได้ประกาศว่าจะยังคงรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยทางการของเงินเยนไว้คงเดิมในอัตราที่ตํ่า -0.10 %
ความเข้าใจของคนทั่วไปเกี่ยวกับการประกาศศักดาขึ้นอัตราอย่างเข้มเป็นพิเศษของเฟดในครั้งนี้ ก็คือ เพื่อต้องการสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่นักเศรษฐศาสตร์และคนทั่วไปก็รู้ว่า เงินเฟ้อสูงทั่วโลกครั้งนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยของการผลิตสินค้าสูงขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นสูงมากของราคานํ้ามันและก๊าซ
แต่ถ้าพิจารณากันให้ถ่องแท้ส่วนลึกของการใช้นโยบายนี้ของเฟด ก็เพื่อต้องการรักษาความเชื่อถือ ในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐของประเทศต่างๆ ให้ยั่งยืนต่อไป พูดง่ายๆ ในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ตอนที่เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ค่อยดี สหรัฐก็นํานโยบายปั๊มดอลลาร์ด้วย QE (Quantitative Easing) ออกมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย จนความเชื่อถือในดอลลาร์ของนานาประเทศลดน้อยลง มาตอนนี้คิดจะดึง QE กลับพร้อมกับการสร้างความมีค่าของดอลลาร์ขึ้นมาใหม่ ก็นํานโยบายขึ้นดอกเบี้ยแบบเข้มมาใช้อย่างหัวปักหัวปํา โดยไม่คิดถึงชาติเล็กชาติน้อยที่ยังลําบากอยู่แม้แต่น้อย
ประเทศไทยเราจะปรับอัตราดอกเบี้ยกันอย่างไร ท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงค์ชาติท่านก็ได้ออกมาแถลงแนวทางการดูแลค่าเงินบาทไว้เมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่าจะดูแลการปรับอัตราดอกเบี้ยของเงินบาทให้รับกับสภาวะของเศรษฐกิจไทยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อไม่ให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสะดุด ซึ่งผมเห็นว่าหากทําตามแนวนี้จริงจะเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญมาก เพราะเงินบาทเราในปัจจุบันเป็นเงินที่มีความสําคัญมากขึ้นในตลาดการเงินโลก และมีการยอมรับกันกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอินโดไชน่านี้เพื่อนบ้านยอมรับว่าบาทเป็นสกุลเงินที่ใหญ่สกุลหนึ่ง ดังนั้น การจะปรับทิศทางของดอกเบี้ยเงินบาท สมควรแล้วที่ต้องใช้ความรอบคอบให้มาก และมีความเป็นตัวตนของตัวเองให้มาก
แบงค์ชาติเองเป็นหัวเรือใหญ่ในการช่วยเหลือและร่วมมือกับรัฐบาลในการจัดเงินกู้ดอกเบี้ยตํ่าสุดๆ ให้กับธุรกิจน้อยใหญ่ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งหลาย เพื่อให้มีเงินทุนสําหรับประกอบธุรกิจอย่างต่อเนื่องในช่วงวิกฤตจากโควิด-19 ใน 2 ปีเศษที่ผ่านมา พอภาคธุรกิจมีทีท่าว่าจะฟื้นตัวได้แล้วจะมาปรับดอกเบี้ย ทางการของเงินบาทอีก 0.75 % ในตอนนี้แล้วจะบดขยี้ปรับซํ้าอีก 2 ครั้ง ใน 3 เดือนข้างหน้าอีกอย่างที่เฟดบอกว่าจะทํา แล้วธุรกิจไทยจะอยู่กันรอดได้อย่างไร หากต้องถึงกับต้องเจ๊งกันอีกระลอก ผมอยากถามว่า ใครจะเดือดร้อน ก็รัฐบาลอีกนั่นแหละ ส่วนเอกชนก็ต้องพากันเบี้ยวหนี้กันอีกแยะ คนที่จะพลอยเดือดร้อนด้วยก็คือแบงค์ชาตินั่นแหละ มันเป็นเรื่องงูกินหางนะครับ
ผมถึงบอกว่า แนวทางการดูแลเรื่องดอกเบี้ยขาขึ้นที่แบงค์ชาติได้วางไว้ว่า จะค่อยทําค่อยไปให้เหมาะสมกับสภาวะของเศรษฐกิจที่กําลังจะดี แต่ยังยักแย่ยักยันอยู่ จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก ประเทศที่กําลังพัฒนาอย่างไทย มีเงินทุนสํารองระหว่างประเทศที่มากและแข็งปั๋งในอันดับที่ 13 - 14 ของโลก
ขณะนี้มีอยู่เทียบเท่าประมาณ 240,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จะมากลัวเรื่องเงินทุนไหลออกจนขนหัวลุกให้คนอื่นเห็น มันก็น่าอายชาวโลกเขานะครับ ถ้าเราไม่กล้วแล้วหันมาดูแลระบบที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของเราให้ดีมีเสถียรภาพและหนักแน่นเข้าไว้เงินทุนที่ไหนจะไหลออกก็ให้มันรู้ไป ฉะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็มีกระทรวงการคลัง แบงค์ชาติ และ กลต. จะต้องดูแลธนาคารพาณิชย์บริษัทหลักทรัพย์ตลาดตราสารหนี้และตลาดหลักทรัพย์ให้อยู่อย่างมีเสถียรภาพ มีการปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์และกฎหมาย เท่านั้นเป็นพอ
การที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมากด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นแบบเข้ม จะมีผลกระทบต่อไทยอย่างไรบ้าง ในเรื่องนี้มีผู้รู้และเชี่ยวชาญในวงการค้าพูดกันมากว่า ประเทศไทยจะได้รับผลดีมากในด้านสินค้าส่งออกของไทยจะมีราคาถูกลง และนักท่องเที่ยวจะเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในเมืองไทยจะถูกสําหรับนักท่องเที่ยว ฟังดูตามทฤษฎีน่าจะเป็นเช่นนี้แต่ถ้าดูให้ลึกลงไปอาจได้ผลเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ก่อนอื่นต้องรู้ว่าการสูงขึ้นของค่าเงินนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงสกุลเดียวที่ปรับค่าสูงขึ้นไปมากในตอนนี้เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีส่วนเงินสกุลที่สําคัญๆ อื่นล้วนแต่ค่าต้องทรุดตํ่าลงทั้งสิ้น
ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา (สิ้นสุด 27 ก.ย. 65) ค่าเงินสกุลหลักต่างๆ เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐลดลงดังนี้ ยูโร (- 21.73 %) ปอนด์สเตอร์ลิง (- 27.33 %) เยนของญี่ปุ่น (- 30.60 %) หยวนของจีน (-10.81 %) รูปีของอินเดีย (- 10.30 %) รูเปียห์ของอินโดนีเซีย (- 5.86 %) และเงินบาทของไทย (13.46 %)
ดังนั้น ในเมื่อชาติต่างๆ ค่าของเงินอ่อนลงด้วยกัน การส่งออกและนําเข้ากับประเทศต่างๆยกเว้นกับประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก ถือว่าครือๆกัน และเช่นเดียวกัน นักท่องเที่ยวจากประเทศในยุโรป จากออสเตรเลีย นิวซีแลนด์จากจีนหรืออินเดีย จากตะวันออกกลาง และจากประเทศในกลุ่มอาเซียนที่ชอบมาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็จะไม่รู้สึกว่าจะเสียค่าใช้จ่ายถูกลงแต่ อย่างใด โดยสรุปแล้วผลดีที่จะบังเกิดแก่ไทยก็จะมีค่อนข้างน้อย ประเทศที่จะได้เปรียบในครั้งนี้น่าจะมีประเทศญี่ปุ่นประเทศเดียวที่กล้ายืนแข็งไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยเลย ทําให้ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับเงิน ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงถึงร่วม 30 % มากกว่าประเทศอื่นใด เรื่องที่อาจถูกกระทบมากก็คือการกู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐของไทยทั้งภาคเอกชนและภาครัฐซึ่ง รวมถึงรัฐสาวิหกิจต่างๆของไทย แต่เมื่อดูภาระหนี้ต่างประเทศแล้ว ก็มียอดคงค้างเป็นสกุลดอลลาร์ไม่มาก ภาคเอกชน ด้านต่างๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์สถาบันการเงินต่างๆ และบริษัทใหญ่ๆ นั้น แทบทั้งหมดได้ทําการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้แล้ว ในภาครัฐบาล ท่านผู้อ่านอาจเกรงว่าไทยจะถูกกระทบมากเพราะหนี้สาธารณะของไทยมีถึง 60 % กว่าของ GDP แล้ว แต่ข้อเท็จจริงเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม 2565 มีหนี้ต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจอยู่เพียง 170,900 ล้านบาท หรือ 1.67 % ของหนี้ภาครัฐทั้งหมด และหนี้จํานวนนี้ได้ทําการปิดความเสี่ยงไปแล้ว 63 % ที่ยังทําการปิดความเสี่ยงไม่ เสร็จส่วนใหญ่เป็นเงินกู้เยนที่รอการเบิกจ่ายให้จบ และอีกส่วนหนึ่งเป็นหนี้สกุลยูโรของการบินไทยที่ยังอยู่ในแผนฟื้นฟู ถึงเวลาที่สามารถทําการดูแลอัตราดอกเบี้ยเงินบาทให้ดีเพื่อสร้างดุลยภาพใหม่ทางเศรษฐกิจ และสังคมของไทยให้ได้ทั้งนี้จากการถือโอกาสช่วงที่ทุกประเทศต่างประสบภาวะค่าเงินตกตํ่า และถูกบีบจากประเทศสหรัฐให้ต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตามในตอนนี้ผมคิดว่าถึงเวลาที่แบงค์ชาติควรหยิบฉวยโอกาสนี้เข้าไปดําเนินการตามนโยบายที่ได้พูดไว้จริงๆแล้วมีใครกล้าดูลูกแก้ววิเศษแล้วบอกว่า ค่าเงินบาทควรอยู่ที่ 34 – 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทําไมไม่ปล ่อยให้ค่อยๆปรับจนเกิดเสถียรภาพในระยะปานกลาง ซึ่งอาจจะอยู่ที่38 – 39 บาทต่อดอลลาร์ก็ได้
ผมว่า เวลานี้เป็นช่วงที่ประเทศไทยควรดูแลอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ในระดับอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างตํ่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า การปล่อยให้เป็นไปในลักษณะนี้ในช่วง 6 เดือนแรก อาจมีการเคลื่อนย้ายของเงินทุนที่เป็นเงินตราต่างประเทศไหลออกไปบ้าง 30,000 – 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เหลือเงินทุนสํารองระหว่างประเทศอยู่ไม่ตํ่ากว่าระดับ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็เกินพอเมื่อเทียบกับมูลค่าการนําเข้าที่ไทยพึงมีและเมื่อมองถึงการอ่อนตัวของนํ้ามันดิบที่ลื่นไหลลงมาอยู่ในระดับประมาณ 70 - 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ยิ่งเป็นเรื่องที่น่าทํามากขึ้น เทียบกับประเทศอื่นๆแล้ว เงินทุนสํารองระหว่างประเทศ ระดับนี้ไทยก็ยังติดอันดับ 20 ประเทศต้นๆ ที่มีเงินทุนสํารองระหว่างประเทศสูงและมั่นคงในโลกนี้ ณ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐที่ 38 – 39 บาท นอกจากจะดูว่าระบบการเงินของไทยยังมีเสถียรภาพดีอยู่แล้วยังสนับสนุนการส่งออกและการนํานักท่องเที่ยวให้เข้ามาประเทศไทยมากขึ้นแล้ว ยังเป็นอัตราที่จะสนับสนุนหนี้สาธารณะของไทยที่จะอยู่ที่ระดับ 70 – 80 % ของ GDP ได้อย่างเท่ห์ไม่มีที่ติซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลต่อไปสามารถเพิ่มงบประมาณเข้าไปมากพอที่จะเร่งการลงทุนโดยใช้เงินบาทให้มากขึ้น และเปิดโอกาสให้รัฐบาลจัดงบสวัสดิการ และงบการพัฒนาด้านสาธารณสุขและการดูแลสุขภาพให้ประชาชนได้มากขึ้นกว่าทุกวันนี้นี่แหละคือหนทางการสร้างดุลยภาพทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตใหม่ให้กับคนไทยทั้งชาติถ้าจะผิดไม่ได้ตามนี้ก็มีแค่เรื่องคอร์รัปชั่นทุกระดับเต็มบ้านเต็มเมืองเท่านั้น ควรที่จะต้องมีผู้นําของรัฐบาลใหม่ที่มีนํ้ายาในการขจัดเรื่องนี้ได้อย่างจริงจังมาบริหารประเทศสักทีเถอะ