หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีจาก0.75% เป็น 1.00% ต่อปี เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก!
โดยล่าสุด นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารตอบสนองต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวของธปท. แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องและเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการรายเล็กในภาวะที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ธนาคารจึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้สูงขึ้น 0.10% - 0.50%
สำหรับฝั่งเงินกู้นั้น เพื่อให้กระทบลูกค้ารายย่อยน้อยที่สุดธนาคารจึงส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ 0.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2565 ดังนี้
อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับเพิ่ม 0.25% จาก 5.47% เป็น 5.72%
อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับเพิ่ม 0.25% จาก 5.84% เป็น 6.09%
แบงก์กรุงเทพฯ นำร่องขึ้นดอกเบี้ย!
ก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ได้นำร่องประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ โดยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก 0.15-0.50% ต่อปี ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้ปรับขึ้น 0.30-0.40% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 29 ก.ย. 65
โดย นางรัชนี นพเมือง รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เพิ่มขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มขึ้น 0.15-0.50% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ เอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เพิ่มขึ้น 0.40% ต่อปี เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เพิ่มขึ้น 0.375% ต่อปี และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เพิ่มขึ้น 0.30% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2565
ธนาคารกรุงเทพ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเข้าสู่ปกติ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ตามการคาดการณ์ถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น และเพื่อช่วยลดความเสี่ยงแนวโน้มของค่าเงินบาท และเงินเฟ้อที่จะปรับสูงขึ้นไปกว่านี้ ธนาคารกรุงเทพ จึงปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้เพิ่มขึ้น ให้สอดคล้องกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับกลุ่มผู้ฝากเงิน และเพื่อเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบกับกลุ่มเปราะบาง ในด้านเงินกู้ ธนาคารจึงได้ปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ในอัตราที่น้อยกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อื่นๆ
ทีเอ็มบีธนชาตปรับดอกเบี้ย รับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยขาขึ้น
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565 ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อสอดรับกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น โดยมุ่งเน้นดูแลลูกค้าสินเชื่อรายย่อยให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ พร้อมขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มผลตอบแทนและส่งเสริมการออม
โดย นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี เปิดเผยว่า จากการที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ทำให้ภาพรวมการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% เพื่อสอดรับกับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว ทีเอ็มบีธนชาตได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบ และยึดมั่นในแนวทางการช่วยเหลือและดูแลลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อย ที่จะใช้แนวทางการทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและบริหารจัดการสภาพคล่องได้ โดยธนาคารจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) สำหรับกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเพิ่มขึ้น 0.20% ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นที่น้อยกว่าการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในขณะที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MLR (Minimum Loan Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี 0.25% และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MOR (Minimum Overdraft Rate) สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี 0.25% โดยการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป
ในขณะเดียวกัน สำหรับกลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มองหาผลตอบแทนมาช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง และเพื่อเก็บออมสำหรับอนาคต ธนาคารจึงได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยฝากประจำ อยู่ที่ระหว่าง 0.15% - 0.80% ต่อปี ซึ่งรวมถึงบัญชีเงินฝากพิเศษ ทีทีบี อัพ แอนด์ อัพ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทุก ๆ 6 เดือน และได้รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือน เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเงินฝากที่มุ่งเน้นการออมในบัญชีดอกเบี้ยสูง เพิ่มสภาพคล่อง ถอนได้ก่อนกำหนดไม่ถูกลดดอกเบี้ย และเริ่มฝากขั้นต่ำได้ที่ 5,000 บาท โดยธนาคารได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขั้นสูงสุดจาก 1.80% เป็น 2.50% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปเช่นกัน
นายปิติ กล่าวว่า “ทีเอ็มบีธนชาตมีความเข้าใจและมีความห่วงใยถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อลูกค้ากับทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสินเชื่อรายย่อย จึงได้ใช้แนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยให้ลูกค้ายังคงมีสภาพคล่องในการใช้ชีวิตในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน และเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำจะเป็นการช่วยส่งเสริมการออม เพื่อเป็นการสร้างรากฐานชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นให้กับลูกค้าได้”