เหลือบไปเห็นถ้อยแถลงของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ(DSI) ที่มีต่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ 3-4 ราย ได้ทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานความเป็นธรรมต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยระบุว่า “การบริหารงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่สุจริต โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในการอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกัลยาเสพติด และมีฝ่ายการเมืองคอยควบคุมสั่งการ จึงได้ขอพระราชทานขอความเป็นธรรมต่อในหลวง ก่อนจะทำหนังสือนำเรียนต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ”
โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงว่า ในการปฏิบัติหน้าที่ของกรม เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในการดำเนินคดีนั้น จะมีการดำเนินการในรูปแบบของคณะพนักงานสืบสวนหรือคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ แล้วแต่กรณี ไม่ใช่การดำเนินการโดยลำพังของเจ้าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษคนใดคนหนึ่ง และในการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิบัติงานของกรมอาจเกิดความไม่เข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้บริหารได้ อันเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในหน่วยงานราชการ ซึ่งที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีการสื่อสารสร้างความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีปัญหาในการปฏิบัติงานในภาพรวม
ส่วนกรณีที่มีผู้ร้องขอความเป็นธรรมตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้นิ่งนอนใจและอยู่ระหว่างการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว และแม้การร้องทุกข์หรือขอพระราชทานความเป็นธรรมจะเป็นสิทธิ์โดยชอบ แต่ในกรณีของข้าราชการพลเรือนนั้นพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 กำหนดวิธีดำเนินการไว้แล้ว ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินการเป็นลำดับในการให้ความเป็นธรรม และหากเห็นว่าการดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว ยังไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ก็สามารถใช้สิทธิ์ทางศาลปกครองอันมีบมทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ รับรองไว้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ชี้แจงต่อผู้ร้องเรียนต่อไป
ฟังแล้วก็ให้ผวาเฮือกตาม และอดเป็นห่วงเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทั้ง 3-4 รายที่ว่านั้นจริง ๆ ไม่รู้ผ่านนี้ยังอยู่ดีมีสุขไหม หรือถูกโยกไปไหนต่อไหนแล้ว เพราะลองดีเอสไอออกแถลงการณ์มาซะขนาดนี้แล้ว เชื่อว่าป่านนี้คงโยกเจ้าหน้าที่เหล่านี้พ้นจากหน้าที่ความรับผิดชอบในงานหรือคดีความที่กำลังดำเนินการสืบสวนสอบสวนอยู่เป็นแน่!
หากจะถามว่า แล้วคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ประสาสื่อที่จับเรื่องแบบนี้มากว่า 30-40 ปีแล้ว พูดได้คำเดียวว่า คนเรานั้นหากถึงขนาดต้องยื่นเรื่องทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานความเป็นธรรมในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว คงต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หรือสิ้นไร้ไม้ตอกถึงที่สุดแล้ว จึงได้บากหน้าทำเรื่องทูลเกล้าฯ ไปเช่นนั้น และกว่าที่จะตัดสินใจยื่นขอทูลเกล้าฯ ขึ้นไปนั้น คงไม่ใช่เรื่องหุนหันพลันแล่น หรือไม่ได้ดำเนินการร้องขอความเป็นธรรมภายในหน่วยงาน แต่เชื่อว่าน่าจะได้ดำเนินการในทุกวิถีทางแล้ว แต่คง “เจอตอ” ประเภทไม้ซีกหรือจะไปงัดไม้ซุงอะไรนั่นแหล่ะ ถึงต้องบากหน้าทำเรื่องทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานความเป็นธรรมเช่นนั้น
ดั่งสุภาษิตโบราณที่ท่านว่า “ไม่มีไฟ คงไม่มีควัน” กรณีร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากการทำคดี โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดนั้น หากไม่ “เจอตอ” ก็คงเจอแรงกดดันจาก “มือที่มองไม่เห็น” ที่ล้วงลูกเข้ามากดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่จนเหลืออด หรือคงสุดอดกลั้นแล้วนั่นแหละ ถึงต้องยอมนำเรื่องที่ระคายเบื้องพระยุคลบาทขึ้นทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานความเป็นธรรม
ที่ผ่านมานั้น มีกระแสข่าวเล็ดรอดออกมาตลอดว่า ในบางคดีที่เกี่ยวข้องกับบ่อน ยาเสพติด และขบวนการฟอกเงินที่ต้องมีการอายัดทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิด ทรัพย์สินที่ได้จากการฟอกเงิน หรือขยายผลไปยังเครือข่ายนั้น หลายต่อหลายคดีมักมีนักการเมือง มีผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างกรณีคดีบ่อน “หลงจู๊สมชาย” กลางเมืองระยอง ที่เคยเป็นข่าวฮือฮาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 มีการเปิดบ่อนเย้ยมาตรการคุมโควิด จนกลายเป็นคลัสเตอร์แพร่เชื้อโควิด-19 มีนักเล่นติดเชื้อและแพระเชื้อออกไปในวงกว้าง ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกทลายและดำเนินคดีบ่อนการพนันและฟอกเงิน มีโพยส่วยที่กระจายลงไปยังนายตำรวจในพื้นที่ภูธรภาค 2 นับสิบนาย และยังพบเส้นทางการเงินผิดกฎหมายสะพัดกว่า 15,000 ล้านบาท สุดท้าย วันวานศาลอาญามีคำสั่งยกฟ้องหลงจู๊สมชายทั้งข้อหาเปิดบ่อนพนันและฟอกเงินไปซะงั้น
จึงไม่แปลกใจที่วันนี้ เมื่อมาถึงคดี “ตู้ห่าว” ที่ “เฮียชูวิทย์” ออกมาเปิดโปงสุดลิ่ม และกำลัง “ฟ้อนเงี้ยว” ไล่เบี้ยเอาผิดกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะไม่เชื่อฝีมือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการทำคดี ที่กว่า 2 เดือน ก็ยังไม่แจ้งข้อหาฟอกเงินจนกระทั่งต้องเข้าพึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อให้เข้ามาร่วมตรวจสอบ จนกระทั่งมีการตั้งข้อหาฟอกเงินไปล่าสุด ขณะที่บทสรุปสุดท้ายจะลงเอยแบบคดีหลงจู๊สมชาย ที่ระยองหรือไม่นั้น วงในต่างพากันเทไปที่ตู้ห่าวว่ายิ่งใหญ่กว่าหลงจู๊ระยองนั่นเสียอีก
เพราะงานนี้ นัยว่า ระดับที่เลขานุการ รมต.กระทรวงใหญ่ลงมาเล่นเอง นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอถึงกับนั่งไม่ติด และต้องตัดสินใจบากหน้าทูลเกล้าฯ ขอความเป็นธรรมจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ