ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า หากถามนักลงทุนไทยถึงการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ตลาดเวียดนาม ยังคงเป็นคำตอบที่นักลงทุนส่วนมากให้ความสนใจ ถึงที่ผ่านมาจะมีทั้งช่วงสดใส และช่วงที่ทำให้ใจหล่นตุ๊บ แต่ยังคงเป็น “ดาวรุ่ง” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ อย่างเช่นเวียดนาม ต้องอาศัยข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำ
เมย์แบงก์จึงจัดงานสัมมนาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ในหัวข้อ “จับตาตลาดหุ้นเวียดนาม ปี 2023 VIETNAM in FOCUS” ครั้งแรกที่นักลงทุนชาวไทยได้รับฟังข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญที่รู้ลึกรู้จริง จากตลาดเวียดนาม พร้อมคัดสรรตัวเลือกที่น่าจับตาเพื่อนักลงทุนโดยเฉพาะ
งานนี้เมย์แบงก์ได้ชวน 3 ผู้รอบรู้ในตลาดหุ้นต่างประเทศ มาร่วมกันวิเคราะห์ตลาดเวียดนามร่วมกันอย่างออกรส เปิดฉากด้วยสถานการณ์ตลาดเวียดนาม ที่ Mr. Quan Trong Thanh - Head of Research, Maybank Securities Ltd. (Vietnam) ในฐานะ “กูรูตัวจริง” ได้อธิบายย้อนถึงวิกฤติในช่วงปลายปี 2022 ที่ทำให้นักวิเคราะห์ด้านการลงทุนของเวียดนามยังต้องกุมขมับจากการทรุดตัวลงของตลาด และไม่สามารถคาดการณ์สิ่งใดได้ จนตลาดเหวี่ยงตัวกลับขึ้นมาได้เอง ซึ่งคาดการณ์ได้ว่า อาจมาจากพฤติกรรมการลงทุนของรายย่อยที่มักจะอ่อนไหว เทขายเมื่อไม่แน่ใจ และกลับมาซื้อใหม่เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ซึ่งตรงนี้นักวิเคราะห์มองว่าตลาดผันผวนแบบนี้ ถือเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย หากเข้าถูกจังหวะก็สามารถจะเก็บกำไรได้เยอะขึ้นในช่วงที่ตลาดกำลังดีดตัวขึ้นแรงและเร็วเช่นนี้ นอกจากนั้น ยังวิเคราะห์ต่อว่าตลาดค้าปลีกมีอิทธิพลต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นเวียดนามมากกว่า 80% ตลอดจนชี้ให้เห็นถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ทั้งการเปลี่ยนแปลงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามากระทบด้าน Credit Market รวมถึงปัจจัยเงินเฟ้อทำให้เกิดมาตรการขึ้นดอกเบี้ยสูง ต่างก็ทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่สดใสเท่าที่ควร
อีกทั้ง ยังได้ให้เหตุผลการปรับตัวขาลงของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงเวลาต้นปี 2023 นี้ ว่าเป็นเพราะกระแสข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อีกทั้งตลาดยังมีการดีดตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้ จึงเกิดการเทขายทำกำไรในช่วงต้นปี ถือเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยรับศักราชใหม่ ซึ่งถ้ามองในภาพรวมแล้ว ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับตลาดหุ้นเวียดนาม
ตามมาด้วยการไขข้อสงสัยที่นักลงทุนอยากรู้มากที่สุดถึงกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ของเมย์แบงก์ เวียดนาม ย้ำว่า ตลาดหุ้นเวียดนามยังเติบโต และมีมูลค่าที่ดีในการลงทุน แต่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจตลาดและหุ้นที่กำลังจะลงทุนว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดกรณีที่ (1) ผลตอบแทนอาจจะดูเลวร้ายเกินคาด (The Bad) และ (2) ผลตอบแทนแย่อัปลักษณ์ (The Ugly) หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มในระยะถัดไปสถานการณ์ต่างๆจะค่อยๆดีขึ้น จากทั้งปัจจัยภายนอกที่คลี่คลาย และการขับเคลื่อนจากมาตรการภาครัฐภายใน (The Good) ทั้งนี้ ยังคงต้องวิเคราะห์และติดตามแรงกดดันต่อตลาดในด้านต่างๆ ที่อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นเวียดนามผันผวนได้
ทั้งนี้ ความเสี่ยงในการลงทุนหรือสถานการณ์ที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก อาจเกิดจากอิทธิพลจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีค่าเงินดงเวียดนามที่อ่อนตัวลงจากปัจจัยค่าเงินสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น จึงต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งเคยปรับขึ้นมากถึงระดับ 2% ภายในเดือนเดียว ซึ่งส่งผลกระทบไปยังภาคการบริโภคและอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเรื่องเงินเฟ้อก็มีผลกระทบหนักหน่วงพอสมควร ซึ่งรัฐบาลได้ตั้งเป้าไว้ที่ 4.5-5 % หากยังแกว่งตัวอยู่ในจุดนี้ถือว่าอยู่ในช่วงขาลงที่ยังไม่รุนแรงมากนัก ดังนั้น ตลาดที่ผันผวนจึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงในการตั้งรับสะสมลงทุน ในจังหวะที่มูลค่าตลาดเวียดนามถูกที่สุดในรอบหลายปี
ส่วนกรณีของสถานการณ์ที่ย่ำแย่และเสี่ยงต่อการลงทุนมากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญตลาดเวียดนาม เผยถึง มาตรการแอนตี้คอรัปชั่น ซึ่งกระทบกับตลาดพันธบัตร เกิดการเททิ้ง Bond ลงมาทำให้ Yield พุ่งขึ้นแรง ส่งผลกระทบด้านการระดมทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นตามมา อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงอายุของพันธบัตรที่กำลังจะหมดลง ซึ่งรัฐบาลเวียดนามจำเป็นต้องหามาตรการมารองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย
กูรูในงานสัมมนายังชี้ว่า ตลาดเวียดนามยังเป็นตลาดที่น่าจับตา มีหุ้นหลายกลุ่มที่น่าสนใจแก่การลงทุน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวหลังโควิด-19 เช่น กลุ่มขนส่ง กลุ่มประมง กลุ่มกระดาษ และไม่ควรมองข้ามพื้นที่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ (Industrial Park) และกลุ่มพลังงาน ที่กำลังมาแรง นอกจากนั้นกลุ่มอาหาร ค้าปลีก และธนาคาร ก็ยังฮอตไม่แผ่ว โดย Mr.Thanh ได้จัด 5 หุ้นเด่นมาให้ นลท.ชาวไทยด้วย โดยยกให้ธนาคาร STB จะเด่นมากในเรื่องการ Turnaround เพราะมีสินเชื่อขนาดใหญ่ ขณะที่ธนาคารกำลังเสร็จสิ้นการปรับโครงสร้างแล้ว ซึ่งจะหนุนให้กำไรฟื้นตัวรุนแรง เช่นเดียวกับธนาคาร VCB ก็ยังเป็นธนาคารที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ FRT จะมีการเติบโตที่โดดเด่นมาก จากการขยายเครือข่ายด้านสุขภาพและความร่วมมือในผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ส่วน DHC ซึ่งทำธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษกำลังได้ประโยชน์จากการกลับมาของจีน ขณะที่ PVS เป็นผู้ได้ประโยชน์สูงในการลงทุนด้านน้ำมันและก๊าซของเวียดนาม เป็นต้น
ในช่วงท้าย Mr.Thanh ได้หยิบยก 10 หุ้นที่นักลงทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอยู่แล้ว มาให้ความเห็น และแนวทางการลงทุน โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มที่ยังคงถือครองได้ สามารถซื้อเพิ่มได้ เช่น ACV ธุรกิจท่าอากาศยาน, FPT ธุรกิจเทคโนโลยี (2) กลุ่มได้รับผลกระทบในระยะสั้นจากกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งให้รอย่อซื้อ เช่น MWG ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ไอทีชั้นนำ (3) กลุ่มเล่นไปกับจิตวิทยาข่าวการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงานของเวียดนาม เช่น REE NT2 VSH LHC (4) กลุ่มที่มีความเสี่ยงจากอุปสงค์ภาคอสังหาฯที่หด และปัญหาด้านต้นทุนที่พุ่ง เช่น LBM วัสดุคอนกรีต (5) กลุ่มที่อยู่ในโหมดขยายกิจการเด่นอย่าง VRE ห้างสรรพสินค้า ก็ยังถือลงทุน และย่อสะสมได้ ส่วนกองทุน ETF VFMVN Diamond ยังถือลงทุนได้อีกราว 1.5 ปี เพราะในจังหวะที่ MSCI อัพเกรดตลาดเวียดตามเป็น Emerging market จะทำให้กระดาน NVDR มีบทบาทสูงจนทำให้กองทุน ETF นี้น่าสนใจลดลง ขณะที่หาก นลท.ต้องการจะลงทุนผ่านกองทุนรวมเวียดนาม ทีมก็แนะนำกองทุน PRINCIPAL VNEQ ให้เป็นทางเลือกอีกด้วย
งานสัมมนา “จับตาตลาดหุ้นเวียดนาม ปี 2023 VIETNAM in FOCUS” โดย เมย์แบงก์ครั้งนี้ นับเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อขายหลักทรัพย์ Offshore ตลอดจนสนใจในกองทุนเวียดนาม จะได้นำข้อมูลเจาะลึกจากผู้เชี่ยวชาญตัวจริงไปวิเคราะห์โอกาสในการลงทุนของตัวเอง และยังเป็นการตอกย้ำความเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในอาเซียนของเมย์แบงก์ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย