เห็นถ้อยแถลงของ นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ที่ออกมาแถลงกรณีขบวนการ ”หมูเถื่อน” เกลื่อนเมืองวันวานแล้ว ก็ได้แต่ส่ายหน้า เพราะสะท้อนการทำงานของหน่วยงานได้เป็นอย่างดี
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (เอสไอ) หลังถูก “นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” เรียกไปเขกกบาลก็ ”ลุยไฟ” ขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนชนิดถึงพริกถึงขิง ไปจนถึงขั้นเตรียมประสานลุยยึดทรัพย์ พร้อมสรุปสำนวนเตรียมเอาผิดข้าราชการ-เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าหมูเถื่อนเหล่านี้ร่วม 10 ราย เตรียมส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ฟันกราวรูดกันไปแล้ว
แต่ในส่วนของกรมปศุสัตว์นั้น ป่านนี้ยัง “มะงุมมะงาหรา” ร้องขอข้อมูลรายชื่อข้าราชการในสังกัดที่เข้าไปพัวพันกับขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนเหล่านี้จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ( DSI)อยู่เลยว่าแต่ละรายเข้าไปเกี่ยวข้องยังไง เพราะไม่มีรายชื่อ ไม่มีรายละเอียดอะไรอยู่ในมือ
ขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนที่แหลมฉบังที่กรมศุชกากรตรวจยึด และที่ชุดเฉพาะกิจลุยตรวจสอบและอายัดตามห้องเย็นต่างๆ ในจังหวัดสมุทรสาครนั้น กรมปศุสัตว์ได้แต่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานมีการขออนุมัตินำเข้าถูกต้องหรือไม่เท่านั้น และข้อมูลที่ที่มีอยู่ก็มีแต่รายงานกรณีที่ชุดเฉพาะกิจปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้เข้าตรวจสอบห้องเย็นในจังหวัดสมุทรสาครและพบตับหมูแช่แข็ง 75 ตัน จึงดำเนินการอายัดไว้ตรวจสอบ
โดยแบ่งออกเป็น 2 ชุด ชุดแรกเป็นสินค้าที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ DE จำนวน 73,540 กิโลกรัม อีกชุดมีสติ๊กเกอร์ DE 1,530 กิโลกรัม ซึ่งจากการตรวจสอบพบมีเชื้อซาลโมเนลลาในชุดหลัง เจ้าหน้าที่จึงอายัดและสั่งทำลาย ส่วนสินค้าอีกชุดที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ DE นั้นตรวจไม่พบเชื้อ และทางผู้ประกอบการสามารถนำเอกสารหลักฐานมายืนยันการขออนุญาตนำเข้าถูกต้องมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้ จึงถอนอายัดไป
ส่วนกรณีที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาแฉโพยว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับหัวหน้าด่านปศุสัตว์ ร่วมกับพรรคพวกแอบนำเอาของกลางตีนไก่ 2 ตู้ ไปขายโดยทุจริต และยังมีหลักฐานการจ่ายส่วนของผู้นำเข้าหมูเถื่อนไปถึงเจ้าน้าที่ด้วยนั้น กรมยังไม่ได้รับรายงาน และยังไม่ทราบรายละเอียด กำลังขอข้อมูลจากดีเอสไออยู่
“สุดงงในดงกล้วย” กับการทำงานของกรมนี้ เขามีข่าวขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน เนื้อวัวเถื่อน กันมาเป็นแรมปี มีการตรวจอายัดหมูในห้องเย็นกันเป็นกุรุด รวมทั้งกรณีล่าสุดที่ชุดเฉพาะกิจ บก.ปคบ. ตรวจอายัดตับหมูแช่แข็งที่แยกเป็น 2 กลุ่ม ชุดแรก 73 ตันเศษ ไม่มีสต๊อกเกอร์ อีกกลุ่ม 1.5 ตัน มีสติ๊กเกอร์ DE แต่ตรวจพบมีสาร และสุ่มตรวจทั้ ง2 กลุ่มแล้ว พบว่า มีเชื้ออยู่ในกลุ่มหลังเท่านั้น จึงอายัดและทำลายเฉพาะในส่วนหลัง ส่วนกลุ่มแรกที่ไม่พบเชื้อเลยต้องถอนอายัด เพราะไม่มีเหตุจะต้องอายัดเอาไว้อีก
ตลาดหมูในประเทศ “พังพินาศ” เพราะขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน ราคาหมูในประเทศดิ่งหนัก จนเกษตรกรฟาร์มหมูรายเล็กรายย่อยนับหมื่น นับแสนรายต้องล้มหายตายจาก แต่กรมปศุสัตว์กลับไม่ประสีประสากันอีกหรือว่าเกิดจากสาเหตุใด ยังคงอนุมัติให้มีการนำเข้าหมู (ไม่เถื่อน) กันอย่างเอิกเกริกกันอยู่หรือไร
ถึงไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย ไม่รู้ว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับแต่ปลายปี 2564 เกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมหมูของไทย เหตุใดจึงยังคงตั้งหน้าตั้งตา “อนุมัติ” การนำเข้าหมูและอวัยวะหมูกันหน้าตาเฉย ตกลงซากหมูและอวัยวะเหล่านี้ไม่ได้เป็นสินค้าต้องห้ามนำเข้าใด ๆ เลยกระนั้นหรือ ? ใครอนุมัติให้นำเข้าและมีการอนุมัตินำเข้ามากน้อยเพียงใด สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ปกปิดไม่สามารถเปิดเผยให้สาธารณะได้รับรู้หรืออย่างไร
ที่พิลึกเข้าไปอีก ขณะที่มีรายงานยักษ์ค้าปลีก-ค้าส่งของประเทศแห่งหนึ่ง ออกมายอมรับหน้าชื่นว่า มีการสั่งหมูและตับหมูจากขบวนการนำเข้าหมูเถื่อนเหล่านี้ไปจำหน่ายยังห้างค้าปลีกค้าส่งของตนเอง ก่อนจะยกเลิกออเดอร์กันไปในช่วงกลางปี 2565 กรมกลับไม่มีข้อมูลอะไรเลยในมือว่า เขาสั่งไปจำหน่ายในห้าง กระจายไปยังมือประชาชนสักกี่มากน้อย หรือสั่งมานานหรือยัง หมูที่สั่งนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายนั้น นำเข้ามาที่ไหนอย่างไร กระจายกันไปที่ไหนอย่างไร
ถึงได้หายเงียบเข้ากลีบเมฆกันไป..
หรือว่าทุกอย่างกลายเป็นเรื่องของธุรกิจเอกชน ที่กรมปศุสัตว์ไม่มีหน้าที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือยุ่งเกี่ยวใดๆ เลยกระนั้นหรือ (เพราะหากมีการตรวจสอบตั้งแต่ต้นคงจะเห็นแล้วว่า หมูและตับหมูเหล่านั้น มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร) หรือว่า พลอยเห็นดีเห็นงามไปกับขบวนการนำเข้าหมูและอวัยวะหมูจากต่างประเทศเหล่านี้ จึงไม่เคยระแคะระคายอะไรเลย
การที่ รมว.เกษตร ผุดหน่วยเฉพาะกิจ “พญานาคราช” ปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อนทุกชนิด เพื่อหวังทำลายขบวนการหมูเถื่อนและปศุสัตว์เถื่อน รวมทั้งสินค้าเกษตรทุกชนิดประเภท ล่าสุดนั้น หลายฝ่ายจึงได้แต่เย้ยหยันหรือสัพยอกว่า จะไปได้สักกี่น้ำ เดี๋ยวก็หายเข้ากลีบเมฆวังบัวบาน บ้านใหญ่นครปฐม หรือบ้านใหญ่สุพรรณบุรี กันไปอีก
ยิ่งมีข่าวว่าหัวเรือใหญ่ของขบวนการนำเข้าที่ว่า “บิ๊กบึ้ม” แค่ไหน (แต่กลับไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อ “ผู้มีอิทธิพล” ของกระทรวงมหาดไทย) ด้วยแล้ว หนทางจะล้างบางขบวนการของเถื่อนเหล่านี้จึงยิ่งวังเวง เว้นเสียแต่รัฐบาลจะ (กล้า) “ล้างไพ่” ข้าราชการเหล่านี้ไปสักครึ่งของจำนวนข้าราชการที่มีนั่นแหล่ะ กล้าไหมหล่ะ!!!