เหตุจาก “สมเด็จฮุนเซน” เดินทางมาเยี่ยมอาการป่วยของ “พี่ชายบุญธรรม - ทักษิณ ชินวัตร” เชื่อมโยงกับอีกหลายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ล้วนหาใช่เหตุบังเอิญ? แต่เกิดขึ้นจาก “ทฤษฎีสมคบคิด” ส่วนจะสมคบคิดกันภายในประเทศตัวเองหรือไม่? ทว่าหากถูกเปิดโปงว่ามีคนไทย “เอี่ยวผลประโยชน์” ล่ะก็ งานนี้...คงมีการผูกโยงถึง “ครอบครัวชินวัตร” แน่! และไฟการเมืองอาจลามสู่ “รัฐบาลเศรษฐา” ก็เป็นได้
……..
การเดินทางมาเยี่ยมอาการป่วย “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้าในประเทศไทย ของ “อดีตนายกรัฐมนตรี” แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา “สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน” หรือ “สมเด็จฮุน เซน” ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา และอยู่ร่วมรับประทานอาหารมือเที่ยง เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา สะท้อนภาพความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองตระกูลในหลากหลายมิติ?
แม้เจ้าตัว...“สมเด็จฮุน เซน” จะย้ำหนักแน่น! ในเฟซบุ๊กตัวเอง ภายหลังที่ได้เดินทางออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า ทำนอง...การเดินทางมาในครั้งนี้ ไม่มีการพูดถึงเรื่องการเมือง และเป็นการมาเยี่ยม “พี่ชายบุญธรรม” ที่รู้จักมายาวนานกว่า 30 ปี
“เราอดีตนายกฯ ทั้งสองได้พบกัน เราไม่คุยกันเรื่องการเมือง แต่ระลึกความหลังความสัมพันธ์ตลอด 32 ปีของเรา เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2535 ขอบคุณพี่ชายและหลานสาวที่มาต้อนรับผมในวันนี้”
“สมเด็จฮุน เซน” ยังสำทับด้วยว่า...“เพื่อทำให้สายสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น ผมได้เชิญอุ๊งอิ๊งไปเยือนกัมพูชาในวันที่ 14-15 มี.ค. 2567”
นับเป็น…แขกระดับ VIP สำคัญคนแรกที่เดินทางมาเยี่ยมอาการป่วยของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ถึงบ้านจันทร์ส่องหล้า
ก่อนหน้านี้เพียง 10 วันเศษ...วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2567 “สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพิ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะ “แขกของรัฐบาล” โดยได้พูดคุยและร่วมหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ถึงการกระชับความร่วมมือของ 2 ประเทศ
ทั้งใน 1. ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2. ด้านการค้าขายและการลงทุน 3. ด้านความมั่นคงพลังงาน 4. ด้านการพัฒนาชายแดนและการท่องเที่ยว 5. ด้านความร่วมมือประเด็นหมอกควันข้ามแดน (PM 2.5) 6. ด้านอาชญากรรมข้ามชาติ และ 7. ด้านแรงงาน
หากยังจำกันได้ ทันทีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน ก้าวสู่เก้านายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศ ก็เป็นเขา...ที่เดินทางไปเยือนกัมพูชาเป็นประเทศแรกในกลุ่มประเทศอาเซียน
และถ้าประมวลภาพความเป็นจริงของปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ โดยเริ่มจากการที่...
“อดีตนายกฯ ทักษิณ” เดินทางกลับมารับโทษในประเทศไทย วันเดียวกับที่ นายกเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้น...“นายกฯ เศรษฐา” ก็มีโปรแกรมเดินทางไปเยือนประเทศกัมพูชา
ตามมาด้วยการที่...นายกฯ กัมพูชา เดินทางมาเยือนไทย
ปิดท้ายด้วยการที่ อดีตนายกฯ และประธานองคมนตรีของกัมพูชา เดินทางมาเยี่ยม อดีตนายกฯ ทักษิณ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้น...ล้วนมิใช่เหตุบังเอิญ! แต่มีการวางแผนในเชิง “ทฤษฎีสมคบคิด” มาก่อนแล้วหรือไม่?
ในห้วงเวลาที่ประเทศกัมพูชา ยังมีนายกรัฐมนตรี ชื่อ “สมเด็จฮุน เซน” ก็เป็นเขามิใช่หรือ? ที่ออกมาพูดในทำนอง...หากประเทศไทยมี “ผู้นำประเทศ” จากพรรคก้าวไกลล่ะก็ ระดับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ อาจมีปัญหาต่อกัน
นั่นก็เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยัง “ผู้กุมชะตากรรมประเทศ” ในฝั่งไทย ว่า...อย่าปล่อยให้พรรคของคนรุ่นใหม่ ก้าวสู่ “อำนาจรัฐ” ในประเทศไทย หากยังคิดจะสานต่อความสัมพันธ์และร่วมแบ่งปันผลประโยชน์ของชาติที่จะมีร่วมกันในอนาคต
แล้วมันก็เป็นจริง!
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคที่ได้จำนวน ส.ส.มากสุดเป็นอันดับ 1 ในสภาผู้แทนราษฎรของไทย และเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี มิอาจก้าวสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ได้...และพรรคก้าวไกลเอง นอกจากไม่ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ยังต้องไปเป็นฝ่ายค้านเสียอีก
แม้ว่า “นักวิชาการไทย” หลายคน จะเชื่อในสิ่งที่ “สมเด็จฮุน เซน” โพสต์บอก...ภายหลังเดินทางออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า ว่า...ไม่มีการพูดถึงเรื่องการเมือง
ที่เชื่อ! เพราะของพรรค์นี้ คนระดับนี้...ไม่จำเป็นต้องพูด? ด้วยความที่สนิทสนมกลมเกลียว และผูกโยงผลประโยชน์ร่วมกันมาแต่ในอดีต ดังนั้น เรื่องนี้... “แค่มองตาก็รู้ใจ” ไม่ต้องพูดเพื่อให้ “สื่อตะวันตก” ได้ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงสุด มาดักฟังการสนทนาแต่อย่างใด
แต่เพราะเหตุที่ “นักวิชาการไทย” และ “คอการเมืองไทย” เชื่อเกินกว่าครึ่งว่า...การมาของ “สมเด็จฮุน เซน” ครั้งนี้ จะต้องนำไปสู่อะไรบางอย่าง? ในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะหลายปมที่กำลังเป็นปัญหาต่อกัน...
ทั้งในระดับรัฐบาล และในระดับประชาชน!!!
หนึ่งในนั้น มีเรื่องของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งว่ากันว่า... พื้นที่ที่มีปัญหาตรงนั้น มีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมหาศาล ทั้งปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ มูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
นั่นคือ...เรื่องของความสัมพันธ์และผลประโยชน์ในระดับรัฐบาล (ระดับประเทศ)
อีกหนึ่งคือ ปัญหาการ “เคลม” ที่คนในฝั่งกัมพูชา ทั้งในระดับรัฐบาล ระดับหน่วยงานภาครัฐ ระดับองค์กรธุรกิจ และระดับประชาชน ต่างร่วมกัน เปิดปฏิบัติการ “เคลม” และเสมือนเป็นการ “เคลมทั้งแผ่นดิน” ตั้งแต่เรื่องของ...
มวยไทย (ในปีที่กัมพูชาเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2566) ชุดไทย อาหารไทย ศิลปวัฒนธรรมประเพณีไทย เพลงไทย ละครและภาพยนตร์ไทย
แม้กระทั่ง ดินแดนไทย!!!
นั่นเพราะ ทางฝั่งกัมพูชา ได้ทำการสร้างเส้นแนวพรมแดนระหว่าง 2 ประเทศขึ้นมาใหม่ เป็น “การทำตามอำเภอใจ” โดยไม่สนใจใน “สนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส” ที่ได้ตกลงแบ่งปันดินแดนระหว่างกัน เมื่อปี พ.ศ.2450 (ค.ศ.1907) หรือเมื่อกว่า 116 ปีที่ผ่านมา
เพราะทางฝั่งกัมพูชาหวังจะ “เคลม – เกาะกูด” ซึ่งเป็นพื้นที่ทางใต้สุดของจังหวัดตราด ว่าเป็นดินแดนของพวกเขา ถึงไม่ได้ทั้งหมด...ได้แค่บางส่วน นั่นก็ทำให้กัมพูชา มีส่วนร่วมและส่วนแบ่งในทรัพยากรธรรมชาติกลางอ่าวไทยมูลค่ามหาศาลแล้ว
พูดให้ง่าย...กัมพูชา จะเอาทุกสิ่งอย่างที่เป็นของไทย ไปเป็นของชนชาติกัมพูชา!!!
โดยอ้างว่า...สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ล้วนมีอยู่บนกำแพงนครวัด หรือไม่ก็เขียนอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ ที่ชาวกัมพูชาเรียนกันตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน
ประมาณว่า... ในเมื่อดินแดนที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในปัจจุบัน เคยเป็นดินแดนของกัมพูชามาก่อน ส่วนไทยที่เพิ่งอพยพมาจากดินแดนตอนใต้ของจีนเมื่อ 7-8 ร้อยปีนี้เอง คนไทยก็เป็นแค่...พวกลี้ภัย หนีร้อนมาพึ่งเย็น และยึดเอาดินแดนของกัมพูชาไป
ดังนั้น ทุกสิ่งอย่างของไทย จึงต้องตกเป็นของกัมพูชา ไปโดยปริยาย!!!
ถือเป็น ตรรกะวิบัติ ที่โหดสัสถึงขีดสุด!...ชนิด คนทั่วโลกที่ไหน...ต่างก็รับกันไม่ได้ทั้งสิ้น!
ยุทธการ “เคลม” ของฝั่งกัมพูชา ที่นาทีนี้ คนไทย...ไม่นับเป็น “ประเทศเพื่อนบ้าน” แต่ให้ราคาเป็นแค่ “ประเทศข้างบ้าน” เพราะคนฝั่งนั้น ได้เพาะบ่มและสร้างความเกลียดชังให้กับคนไทยอย่างที่สุด!
โดยในทุกๆ เรื่อง และทุกๆ ครั้งที่คนกัมพูชา หรือเรียกให้ชัดว่าเป็น “พวกเขมร” สร้างปฏิบัติการ “เคลม” ขึ้นมา ก็มักจะโดน “นักรบไซเบอร์ชาวไทย” ตอกกลับหน้าหงายกลับไปทุกครั้ง
คนไทยส่วนใหญ่...ไม่ว่าจะในระดับ หน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ไปจนถึงภาคประชาชน ต่างเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า...ผู้ที่อยู่ “เบื้องหลัง” ในการเปิดปฏิบัติการ “เคลมทั้งแผ่นดิน” คือใคร? กระทั่งมีคนไทยบางกลุ่ม? เปลี่ยนชื่อประเทศนี้ เป็น “เคลมโบเดีย” นั้น ล้วนมีคนโตในระดับรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง
และคนที่ “ชักใย” อีกที ก็คือ...เขาคนนั้น? คนที่กำลังสร้างบทบาทในทางการเมืองระหว่างประเทศ จนคนไทยบางส่วน ขนานนามใหม่ให้เป็น “นายวุ้นเส้น” ที่วุ่นวาย เจ้ากี้เจ้าการ และบงการในทุกสิ่งอย่างของการเคลม! ในทุกครั้ง
ล่าสุด มีเรื่องที่คนในฝั่งกัมพูชาได้ทำการ “เคลมทรัพย์สินทางปัญญา” กระทั่งกลายเป็นปัญหาฟ้องร้องดำเนินคดีกันอยู่ในเวลานี้ นั่นก็คือ...
กรณีที่น้องๆ นักศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฟ้องร้องกรณี กองประกวดนางงาม MISS GOLBAL2023 ในประเทศกัมพูชา ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ ด้วยการนำเพลงประกอบการแสดงนาฏศิลป์ ไปใช้ในเวทีประกวดนางงามดังกล่าว โดยไม่ได้รับการอนุญาต
โดยเป็นการเคลมที่มีการนำไปสร้างเป็นประโยชน์เชิงพาณิชย์ในระดับสากล
หากนักศึกษาไทยกลุ่มนี้ ที่ได้แรงหนุนจาก...คณาจารย์และหน่วยงานรัฐบางแห่ง ไม่ฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเองและทรัพย์สินทางปัญญาของชาติ ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว ล่ะก็ ฝั่งกัมพูชาก็จะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า...
ได้ทั้งเงินและกล่องไปแบบฟรีๆ แถมยังได้โปรโมทว่าเป็น “วัฒนธรรม” ของชาติตัวเองในเวทีโลก เสียอีก
ถึงตรงนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ขอสังเคราะห์ข่าวในคราวเดียวกัน กล่าวคือ... การเดินทางมาเยี่ยม “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ของ “สมเด็จฮุน เซน” และปรากฏการณ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ ล้วนมิใช่ “เหตุปกติหรือเหตุบังเอิญ” แต่อย่างใด? แต่เป็น...เหตุที่เกิดจาก “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่คนกัมพูชา “สมคบคิด” กันเอง หรือจะมีการ “สมคบคิด” กับคนในฝั่งไทยด้วยหรือไม่? อันนี้...มิกล้าจะยืนยัน?
แต่การกระทำของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ถือ “อำนาจรัฐ” และบางคน? ที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังอีกที! ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ย่อมจะเป็นตัวสะท้อนภาพของ “ทฤษฎีสมคบคิด” ว่าจะหยุดอยู่แค่ในประเทศกัมพูชา หรือลากยาวมาถึงฝั่งไทย
และไม่ว่าสิ่งนี้...จะเป็นเช่นใด? “สำนักข่าวเนตรทิพย์” จำเป็นต้องส่งสัญญาณเตือนไปถึง... “นายกฯ เศรษฐา” และ “ครอบครัวชินวัตร” ได้โปรดพึงระมัดระวัง! ต่อการสานต่อความสัมพันธ์อันล้ำลึก! กับ “ผู้ยิ่งใหญ่” ในฝั่งกัมพูชา
อย่าได้ปล่อยให้ผลประโยชน์ของชาติ หลุดไหลไปสู่มือของ “กลุ่มผลประโยชน์” (นักการเมืองและนายทุนเอกชน) ไม่ว่าจะอยู่ในฝั่งของประเทศใดก็ตาม
การดูถูก “พลังของประชาชน” อาจกลายเป็นการปลุกและเติมเชื้อจุดกระแสความไม่พอใจให้กับคนไทย และนั่นอาจนำไปสู่การจุดไฟเผาทั้ง “รัฐบาลเศรษฐา” และ “ตระกูลชินวัตร” ไปในคราวเดียวกันเลย ก็อาจเป็นไปได้!!!