บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group ปิดบัญชีปี 2566 รับรู้รายได้รวม 56,983 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 8,384 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้นของโครงการ Yunlin ยืนยันมีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง 28,862 ล้านบาท บอร์ดไฟเขียวเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาปันผลครึ่งปีหลัง 3.25 บาทต่อหุ้น รวมปันผลทั้งปี 6.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5% ซึ่งสะท้อนสภาพคล่อง สถานะทางการเงินและพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมลุยก่อสร้างโครงการ Yunlin ให้เสร็จภายในปลายปีนี้ เตรียมรับรู้รายได้เพิ่มจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX และโอกาสการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของโรงไฟฟ้า Quezon ที่คาดว่าจะทราบผลการเจรจาเร็ว ๆ นี้
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจในปี 2566 ยังคงมีปัจจัยที่ท้าทายหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด กดดันราคาพลังงานและการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว EGCO Group ยังสามารถสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกลงทุนในโครงการที่มีคุณภาพสูง ในรูปแบบ M&A เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยในปี 2566 EGCO Group สามารถปิดดีลการลงทุนได้ 3 โครงการ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอินโดนีเซีย
ความสำเร็จทางธุรกิจของ EGCO Group ในปี 2566 ได้แก่ การปิดดีล 3 โครงการใหญ่ ด้วยการซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้า RISEC กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ และการซื้อหุ้น 50% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Compass กำลังผลิตรวม 1,304 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอเมริกา การขยายสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค โดยปิดดีลซื้อหุ้น 30% ใน CDI ในอินโดนีเซีย รวมทั้งการทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ Yunlin ในไต้หวัน และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ในสหรัฐอเมริกา
สำหรับผลประกอบการในปี 2566 EGCO Group มีรายได้รวม 56,983 ล้านบาท และมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,734 ล้านบาท โดยปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า Paju ES และ Linden Cogen ซึ่งสามารถทำกำไรได้อย่างโดดเด่นต่อเนื่อง และโรงไฟฟ้า BLCP ที่มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม EGCO Group มีขาดทุนสุทธิ 8,384 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้นของโครงการ Yunlin ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสดและไม่กระทบอัตราส่วนทางการเงินตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2566 EGCO Group มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 28,862 ล้านบาท และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.31 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง
สำหรับความคืบหน้าของโครงการ Yunlin ปัจจุบันโครงการได้ติดตั้งเสากังหัน (Monopile) แล้วเสร็จรวม 45 ต้น ซึ่งเป็นกังหันลม (Wind Turbine Generator) ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วทั้งสิ้น 33 ต้น คิดเป็นกำลังผลิตรวม 264 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีอัตราการผลิตไฟฟ้า (Capacity Factor) เฉลี่ยของโครงการสูงกว่า 40% ยืนยันศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2563-2564 โครงการเผชิญสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่เหนือการควบคุม ทำให้ไต้หวันมีมาตรการการเข้าออกประเทศที่เข้มงวดและมีการประกาศปิดประเทศ กระทบต่อการเดินทางและการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ในการก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมในช่องแคบไต้หวัน ทำให้มีระยะเวลาที่เหมาะสมแก่การทำงานจำกัด จากสาเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดย EGCO Group ได้เร่งรัดติดตามความก้าวหน้าของโครงการอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ดังนั้น ในปี 2566 โครงการจึงมีการปรับแผนการก่อสร้าง ปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่งผลให้ EGCO Group จำเป็นต้องรับรู้ผลกระทบจากการปรับโครงสร้างทางการเงินและการถือหุ้น รวมถึงการด้อยค่าของสินทรัพย์ ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่กระทบกระแสเงินสด ปัจจุบันโครงการมีความพร้อมทุกด้านในการผลักดันและเดินหน้าการก่อสร้างให้เป็นไปตามแผนงาน โดยมีกำหนดแล้วเสร็จครบ 80 ต้น กำลังผลิตรวม 640 เมกะวัตต์ภายในปี 2567
จากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น (AGM) ประจำปี 2567 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2566 ในอัตรา 3.25 บาทต่อหุ้น หลังจากได้รับการอนุมัติจากที่ประชุม AGM ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2567 จะทำให้ทั้งปี 2566 มียอดจ่ายปันผลทั้งหมดอยู่ที่ 6.50 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทนประมาณ 5%
ทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 EGCO Group มุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้กลยุทธ์ “4S” ด้วยการเตรียมงบลงทุน 30,000 ล้านบาท และกำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอีก 1,000 เมกะวัตต์ โดยมุ่งเน้นการลงทุนและเดินเครื่องโรงไฟฟ้าคุณภาพสูงที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานไปสู่การใช้พลังงานสะอาดในพื้นที่ที่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นตั้งอยู่ รวมทั้งการขยาย Portfolio พลังงานหมุนเวียน โดยมีความได้เปรียบจากการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งใน 8 ประเทศที่มีฐานทางธุรกิจอยู่แล้ว ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกัน ก็จะเร่งรัดบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน และบริหาร Portfolio และโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันกว่า 40 แห่ง รวมทั้งธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
นายเทพรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 คาดว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโตจากการรับรู้รายได้เต็มปีจากโครงการที่เข้าลงทุนในปี 2566 ได้แก่ โรงไฟฟ้า RISEC กลุ่มโรงไฟฟ้า Compass บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค CDI รวมถึงรับรู้รายได้เพิ่มจากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้า EGCO Cogeneration ส่วนขยาย กำลังผลิตสุทธิ 74 เมกะวัตต์ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2567 การทยอยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ Yunlin และการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและการขายโครงการพลังงานหมุนเวียนภายใต้ APEX ตลอดจนผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า Paju ES ที่มีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากสภาพเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น และปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว ซึ่งจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน
สำหรับโอกาสการลงทุนใหม่ในอนาคตอันใกล้ EGCO Group คาดว่าจะสามารถปิดดีลโครงการใหม่ในรูปแบบ M&A อีก 2-3 โครงการ ภายในปี 2567 ในขณะเดียวกัน มีโอกาสสูงมากในการต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวของโรงไฟฟ้า Quezon ในฟิลิปปินส์ ที่จะหมดสัญญาในเดือนพฤษภาคม ปี 2568 โดยคาดว่าจะทราบผลการเจรจาที่ชัดเจนเร็ว ๆ นี้
เกี่ยวกับ EGCO Group
ปัจจุบัน EGCO Group มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,996 เมกะวัตต์ (รวมโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) โดยมีกำลังผลิตจากพลังงานหมุนเวียนรวม 1,440 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 21% ของกำลังผลิตทั้งหมด) ทั้งจากชีวมวล พลังน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง เซลล์เชื้อเพลิง และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าและโครงการต่าง ๆ ตั้งอยู่ใน 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ บริษัทโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค “CDI” ในอินโดนีเซีย ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “TPN” โครงการนิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง “ERIE” บริษัทด้านการวิจัยเพื่อพัฒนานวัตกรรม “Innopower” และบริษัทเทคโนโลยีด้านการเงิน “Peer Power” ทั้งนี้ EGCO Group ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน Dow Jones Sustainability Index (DJSI) มา 4 ปีต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายบรรลุ Net Zero ภายในปี 2050 สามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับ EGCO Group เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.egco.com และ www.facebook.com/EGCOGroup