เวทีเสวนาค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมระอุแดด หลังรัฐจ่อทำคลอดแผนพัฒนาพลังงานไฟฟ้าโดยที่ยังไม่ทันได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ จะสร้างความมั่นคง-ยั่งยืนให้กับประเทศจริงหรือไม่ แนะรัฐแยกระบบสายส่ง-เปิดทางรายอื่นร่วมใช้เพื่อให้เกิดแข่งขัน ขณะอดีตปลัดพลังงานจัดชุดใหญ่แนะรัฐเบรกแผนรับซื้อไฟทางเลือกทั้งหลาย รวมทั้งระงับซื้อไฟเพื่อนบ้านไว้ก่อน จนกว่าจะมีผลศึกษายังประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาวได้จริง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อปลายเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นักศึกษาหลักสูตรด้านวิทยาการพลังงานสำหรับนักบริหารรุ่นใหม่ รุ่นที่ 2 (วพม.2) ร่วมกับ สมาคมการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน ได้จัดเสวนาพิเศษในหัวข้อ “ค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมต้องทำอย่างไร” ณ Synergy Hall ชั้น 6 , Energy Complex อาคาร C โดยมีข้อเสนอจากวิทยากรและผู้ร่วมงานเสวนาไปถึงภาครัฐที่มีส่วนในการกำหนดนโยบายด้านไฟฟ้า โดยเฉพาะคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่กำลังจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ฉบับใหม่ หรือ PDP 2024 (พ.ศ.2567-2580) นอกเหนือจากเรื่องของโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าที่จะต้องปรับปรุงให้เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน
โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) , ดร.ชนะภูมิ นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย , นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) , นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการ วิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ นายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เข้าร่วม
*สนพ. หาช่องปรับโครงสร้างค่าไฟเพิ่มเติม
โดย ดร.วีรพัฒน์ เกียรติเฟื่องฟู ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ตัวแทนของกระทรวงพลังงาน ได้กล่าวถึงการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 2024 นี้ว่า อยู่ระหว่างการนำเสนอร่างเข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการพยากรณ์ และจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นี้ ก่อนเปิดรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อไป
ทั้งนี้ หลักการในการจัดทำแผน PDP 2024 จะมุ่งเน้น 4 ส่วนสำคัญ คือ 1. เน้นความมั่นคงของระบบไฟฟ้าทั้งประเทศ (Security) ที่ครอบคลุมทั้งระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และความมั่นคงรายพื้นที่ โดยคำนึงถึง Disruptive Technology ที่จะเข้ามาเพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นเพียงพอต่อการรองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
2. ต้นทุนค่าไฟฟ้าอยู่ในระดับที่เหมาะสม (Economy) ทั้งมีเสถียรภาพ สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ประชาชนต้องไม่แบกรับภาระอย่างไม่เป็นธรรม และเตรียมพร้อมระบบไฟฟ้าให้เกิดการแข่งขันด้านการผลิตไฟฟ้า และการบริหารจัดการ เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
3. คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Ecology) โดยจำกัดปริมาณการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ Carbon Neutrality และ Net Zero Emission และ 4. การเพิ่มประสิทธิภาพในระบบไฟฟ้า (Efficiency) ทั้งด้านการผลิตและการใช้ และนำเทคโนโลยีระบบโครงข่ายไฟฟ้าSmart Grid มาใช้อย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากการมีผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง หรือ Prosumer ที่จะมีมากขึ้นในอนาคต
ทางด้านการชี้วัดความมั่นคงของแผน ใช้เกณฑ์โอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (LOLE) ต้องไม่เกิน 0.7 วันต่อปี หรือไม่เกิน 17 ชั่วโมงจาก 8,760 ชั่วโมง จากเดิมใช้เกณฑ์กำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) ส่วนเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด หรือพลังงานหมุนเวียนใหม่ ปลายแผน หรือ พ.ศ.2580 ต้องมีสัดส่วนการผลิตไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตามแนวนโยบายของแผนพลังงานชาติ
ส่วนโรงไฟฟ้าใหม่และเทคโนโลยีใหม่ จะพิจารณาไปถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ การรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากต่างประเทศ โซลาร์เซลล์ โซลาร์ลอยน้ำ และโซลาร์บวกด้วยระบบกักเก็บพลังงานจากแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System : BESS) และพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เป็นทางเลือกด้วย
สำหรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน ที่แบ่งเป็นค่าไฟฟ้าฐาน (ปรับทุก 3-5 ปี) อยู่ที่ 3.7833 บาทต่อหน่วย บวกด้วยต้นทุนผันแปร Ft (ปรับทุก 4 เดือน) อีก 0.3972 บาทต่อหน่วยนั้น วงเสวนาในครั้งนี้ยังมองว่า น่าจะยังมีช่องทางในการดำเนินการเพื่อให้ค่าไฟฟ้าที่เป็นอยู่มีความเป็นธรรมได้มากกว่านี้ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน ถือว่าค่าไฟฟ้าไทยยังอยู่ในระดับกลางๆ โดยแพงกว่ามาเลเซียและเวียดนาม แต่ถูกกว่าสิงคโปร์
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. หน่วยงานกำกับดูแลกิจการพลังงาน กล่าวถึง ความเป็นธรรมที่ต้องคำนึงถึง 3 ส่วน คือ 1.อัตราค่าบริการและความเสี่ยง 2.ความมั่นคงและคุณภาพ และ 3.นโยบายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยค่าไฟฟ้าจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับนโยบายและการวางแผน เพราะโรงไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่สามารถมาปรับได้ภายในเวลา 1-2 วัน และเน้นว่าต้นทุนที่สำคัญของค่าไฟฟ้าคือค่าเชื้อเพลิง โดยเฉพาะ LNG ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก
*แนะยกเลิกการกำหนดค่า FT ทุก 4 เดือน
ดร.ชนะ ภูมี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน และนายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ได้ฝากข้อเสนอแนะต่อการสร้างค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมในมุมมองจากฝั่งของผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ อย่างอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่จ่ายค่าไฟฟ้าประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาทว่า ไฟฟ้าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และเป็นต้นทุนที่สำคัญของผู้ประกอบการ ปัจจุบันโรงงานปูนซิเมนต์ที่สระบุรีจึงนำเทคโนโลยีผลิตพลังงานใช้เองมาใช้มากขึ้น และมีการแลกเปลี่ยนพลังงานระหว่างกันในพื้นที่ใกล้เคียง ทำให้ต้นทุนค่าซื้อไฟฟ้าลดลง เหลือซื้อจากระบบของการไฟฟ้า 12,000-13,000 ล้านบาท จาก 20,000 ล้านบาท ที่เหลือ 40% ผลิตใช้เอง ซึ่งเราพร้อมเป็นโมเดลให้ทุกภาคส่วนได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้
สำหรับข้อเสนอต่อโครงสร้างไฟฟ้าที่เป็นธรรมนั้น ประกอบด้วย
1. ให้เร่งรัดการใช้ประโยชน์อุปกรณ์โครงข่ายต่างๆ ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกระหว่างผู้ใช้และผู้ผลิตให้เกิดผลตามแผน PDP และ ERC Sandbox ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ทดลองอยู่ให้เร็วขึ้น
2. การสนับสนุน Energy Storage ต้องให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น Chemical Battery, Thermal Battery ความร้อนหรือความเย็น, หรือ Gravity Storage เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนโหลดของผู้ใช้ Energy Storage ร่วมกัน
3. การกำหนดให้มี Flexible Tariff ร่วมกับเร่งรัด Platform สำหรับซื้อขายไฟฟ้าได้หลายแหล่งและหลากหลายคุณภาพที่เหมาะสมกับราคา
*หนุนแยกระบบสายส่งเปิดทางคนอื่นร่วมใช้
ด้าน นายนที สิทธิประศาสน์ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้กล่าวถึงโครงสร้างค่าไฟที่เป็นธรรมว่าควรใช้หลัก Performance Base ของ 3 การไฟฟ้าแทนระบบ Return on Invested Capital หรือ ROIC และควรเร่งระบบที่จะรองรับเทคโนโลยีที่ Prosumer (การผลิตใช้เองและขายเข้าระบบ) , Peer to Peer (การผลิตและซื้อขายกันเองระหว่างเอกชนผ่านระบบสายส่งของรัฐ)
นอกจากนี้ ควรเร่งประกาศใช้ Third Party Access และประกาศอัตราค่าบริการการใช้ระบบสายส่งของรัฐ หรือ Wheeling Charge ที่เหมาะสม และการเตรียมการสำหรับ Direct PPA รวมทั้งรัฐควรตั้งงบประมาณอุดหนุนค่าใช้จ่ายตามนโยบายภาครัฐ (Policy Expense - PE) ที่แยกต่างหากสำหรับสวัสดิการที่ให้กับประชาชน เช่น ไฟฟ้าสาธารณะ เงินอุดหนุนการลงทุนโรงไฟฟ้า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มเปราะบาง
รวมทั้งยังมีข้อเสนอ เปลี่ยนโครงสร้างกิจการไฟฟ้าจาก Enhanced Single Buyer - ESB ไปสู่ การเปิดเสรีซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ตอบโจทย์การใช้พลังงานหมุนเวียน 100 % หรือ RE100 ของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในไทยเพื่อส่งออก
*กฟผ. แนะยกเครื่องระบบ TOU
นายวฤต รัตนชื่น ผู้ช่วยผู้ว่าการวิจัย นวัตกรรม และพัฒนาธุรกิจการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ระบุว่า ในภาคการผลิตไฟฟ้า ได้เสนอแนวทางที่จะทำให้ค่าไฟฟ้าเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนมากขึ้น โดยในเบื้องต้นต้องเคลียร์ต้นทุนของแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกมาให้ชัดเจน เพื่อพิจารณาการอุดหนุน และเงื่อนไขที่เหมาะสม และเพื่อไม่ให้ภาระไปตกอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะภาคประชาชน
พร้อมเสนอปรับปรุง อัตราค่าไฟฟ้าที่คิดตามช่วงเวลาการใช้งานของผู้ใช้ไฟฟ้า (Time of Use Tariff :TOU) เพื่อกระจายช่วงเวลาการใช้ไฟซึ่งใช้มานับสิบปี เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน
*สร้างสมดุลระหว่างการกำกับและเปิดเสรีเสรี
นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวเสนอในมุมของการจัดหาเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าที่ประเทศจำเป็นต้องพึ่งพาก๊าซฯในระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด โดยรัฐต้องเน้นเรื่องคุณภาพของไฟฟ้าที่จะต้องไม่ให้มีไฟฟ้าตกดับได้เพราะประเทศไทยพัฒนาระบบไฟฟ้ามาไกลเกินกว่าจะยอมรับให้ไฟตกไฟดับได้ แม้จะมีความท้าทายที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และAI ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตอีกเป็นเท่าตัวก็ตาม
ดังนั้น นโยบายรัฐจึงต้องผสมผสานให้เกิดสมดุลระหว่างการเปิดให้มีการแข่งขันเสรีกับระบบการกำกับดูแลที่เป็นธรรม ซึ่งนโยบายต้องพิจารณาในเรื่องราคาที่สะท้อนต้นทุนจริง เพื่อไม่ให้เกิดภาระกับประเทศในระยะยาว รวมถึงการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามามากขึ้น และการที่ทุกฝ่ายจะต้องสื่อสารกับประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าให้มากขึ้น
*ข้อเสนอของกูรูพลังงาน หยุดรับซื้อไฟ 4 ปี
ปิดท้ายด้วยข้อเสนอของอดีตปลัดกระทรวงพลังงาน ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ที่ฝากข้อเสนอแนะจากมุมของผู้บริโภค ไปยังผู้เกี่ยวข้องดังนี้
1. ให้รัฐหยุดโครงการรับซื้อไฟฟ้าใหม่ชั่วคราว 4 ปี
2. ให้ชะลอ หรือเลื่อนการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (สปป.ลาว) ที่ไปเซ็นสัญญา PPA กันไว้ในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา
3. รัฐไม่ควรอ้างเป้าหมาย Carbon Neutrality 2050 และ Net Zero Emission 2065 เพื่อมาเปิดรับซื้อไฟฟ้าสีเขียว Utility Green Tariff (UGT) ด้วยกติกาที่ไม่เป็นธรรมจนกว่าจะมีการศึกษาและรับฟังความคิดเห็นอย่างจริงจัง/รอบด้านว่ากระทบต่อค่าไฟฟ้าอย่างไร เพราะยังคงจะต้องมี gas-fired power plants เพิ่มขึ้นเพื่อเป็น back up/standby เวลาแสงอาทิตย์ไม่มี หรือลมไม่มาอีกเท่าไหร่?
4. เลิกต่ออายุโรงไฟฟ้าเก่า SPP และ IPP ของเอกชนทุกประเภท ถ้าอยากผลิตต่อหลังหมดสัญญา PPA ให้มาเข้าระบบแข่งขันเสรี power pool โดยให้เร่งออกกติกา wheeling charge และ TPA
และ 5. ให้โรงไฟฟ้าของ กฟผ. และบริษัทในเครือ เข้าร่วมแข่งขันประมูลโรงไฟฟ้าได้เช่นเดียวกับเอกชน บนกติกาเดียวกัน