“ประเดช” ลุยเก็บกวาดบ้าน WEH หลังเสร็จศึกเลือดณุศาศิริ (NUSA) เคลียร์หน้าเสื่อกลุ่มณพ ณรงค์เดช - KPNET พ้นบริษัท 100% หลังยังดิ้นเรียกประชุมถือหุ้น ขอเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท อ้างคำสั่งศาลชี้ขาดสัญญาซื้อขายหุ้น KPNET กับประมุขบ้านณรงค์เดชของปลอมเท่ากับตนเองยังถือหุ้นใหญ่ แต่กรมทะเบียนการค้าย้อนเกล็ดธุรกรรมซื้อขายโอนหุ้นเสร็จสมบูรณ์ไปหมดแล้ว เรื่องภายในครอบครัวไปเคลียร์กันเอาเอง
ผู้สื่อข่าว รายงานความคืบหน้ากรณีความขัดแย้งภายใน บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) (NUSA) หลังจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท ธนาพาวเวอร์ ของนายประเดช กิตติอิสรานนท์ ได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้ขอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นเปลี่ยนแปลงประธานกรรมการ และกรรมการบริษัทยกชุด เพื่อยุติปัญหาการช่วงชิงอำนาจภายใน กรุยทางไปสู่การปรับโครงสร้างองค์กรและธุรกิจ โดยจะให้ความสำคัญกับธุรกิจพลังงานมากขึ้น จากการที่ NUSA เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท วินด์เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ WEH ด้วยนั้น
ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวภายในบริษัท วินด์เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) WEH หลังจากกลุ่มนายณพ ณรงค์เดช แห่งบริษัทเคพีเอ็น เอนเนอยี่ (ประเทศไทย) จำกัด (KPNET) ได้ยื่นเรื่องไปยังสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า กรมทะเบียนการค้า เพื่อขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัทและกรรมการผู้มีอำนาจ โดยอ้างว่า บริษัท KPNET ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน WEH ภายหลังจากศาลอาญากรุงเทพใต้ได้มีคำพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายหุ้นในบริษัทลงวันที่ 25 เม.ย. 2559 ระหว่าง KPNET - ผู้ขาย กับนายเกษม ณรงค์เดช - ผู้ซื้อ เป็นเอกสารปลอม เนื่องจากลายมือชื่อของนายเกษมเป็นลายมือปลอม (คดีหมายเลขแดง ที่ อ.1753/2566) จึงยังผลให้ธุรกรรมการซื้อขายหุ้นของบริษัทจำนวน 64.717 ล้านหุ้น ที่นายเกษมรับโอนไปตกเป็นโมฆะ และทำให้การทำสัญญาซื้อขายหุ้นและนิติกรรมการโอนหุ้นในลำดับถัดไปหลังจากนั้นต้องตกเป็นโมฆะ เสมือนว่าไม่เคย มีนิติกรรมการซื้อขายและรับโอนหุ้นมาตั้งแต่ต้น
ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัท KPNET จึงยังคงถือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 64.717 ล้านหุ้น หรือร้อยละ 59.46 ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งบริษัทได้อาศัยสิทธิ์ของการถือหุ้นดังกล่าวดำเนินการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น WEH เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเมอเวนพิค กรุงเทพ โดยมีหนังสือเชิญประชุมไปยังรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนของบริษัทจำนวน 94 ราย จาก จำนวนผู้ถือหุ้น 135 ราย ส่วนผู้ถือหุ้น 41 รายที่เหลือ ซึ่งเป็นผู้รับโอนหุ้นมาจากนายเกษม หรือที่รับต่อมาเป็นทอดๆ จึงไม่อยู่ในฐานะผู้ถือหุ้นใด ๆ ซึ่งที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันดังกล่าวได้เห็นชอบการพิจารณาถอดถอน เปลี่ยนกรรมการบริษัท แต่งตั้งกรรมการใหม่และเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้มีอำนาจตามที่บริษัทร้องขอ
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า ได้มีหนังสือที่ พณ 0805.08/359 ลงวันที่ 27 ก.พ. 67 แจ้งผลการพิจารณาคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท และกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม WEH ตามที่บริษัท KPNET ร้องขอ โดยระบุว่า ทางสำนักงานฯ ได้รับหนังสือคัดค้านคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสถานะภายในบริษัท รวมทั้งปรับเปลี่ยนกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจทั้งจาก บริษัทวินด์เอนเนอยี่ โฮลดิ้ง จำกัด และกรรมการบริษัท จำนวน 9 คน รวมทั้งจากบริษัท อัลลาย เทคโนโลยี อินเตอร์เนชั่นแล จำกัด บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด และ บริษัทธานนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งคัดค้านการขอจดทะเบียนเปลี่ยนสถานะภายใน WEH เช่นกัน
โดยเหตุผลที่ว่า แม้ KPNET จะเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำนวน 64.717 ล้านหุ้น (59.94%) มาก่อน แต่ต่อมาบริษัทได้ทำตราสารการโอนหุ้นดังกล่าวไปให้แก่นายเกษม ณรงค์เดช ตามตราสารการโอนหุ้นระหว่างกันลงวันที่ 25 เม.ย. 2559 และได้นำเอกสารหลักฐานดังกล่าวมาให้บริษัทดำเนินการจดแจ้งการโอนหุ้นลงในสมุดทะเบียนเป็นที่เรียบร้อย และบริษัทได้ยึดถือตราสารการโอนหุ้นข้างต้นเป็นหลักฐานในการดำเนินการดังกล่าวมาโดยตลอด เท่ากับว่า KPNET ไม่ได้มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทแต่อย่างใด การอ้างคำพิพากษาในภายหลังว่า สัญญาการซื้อขายหุ้นระหว่าง KPNET กับนายเกษมเป็นเอกสารปลอม มีการปลอมแปลงลายมือชื่อจึงทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะ เท่ากับไม่มีการซื้อขายจริงนั้น ไม่มีผลทำให้บริษัทต้องดำเนินการเปลี่ยนแปลงสถานะ ตราบใดที่ไม่มีคำพิพากษาของศาลให้เพิกถอนการโอนหุ้น และให้บริษัท KPNET เป็นเจ้าของหุ้นจำนวน 64.717 ล้านหุ้นแล้ว ดังนั้น WEH จึงยังคงต้องยึดถือรายชื่อผู้ถือห้าตามสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ของบริษัทในปัจจุบัน ว่ายังคงเป็นผู้ถือหุ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย
ขณะที่ในส่วนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้พิจารณาคำขอของ KPNET และคำคัดค้านจดทะเบียนดังกล่าวแล้วเห็นว่า การซื้อขายเป็นเอกเทศสัญญาต่างชนิดกับหุ้นส่วนและบริษัท และการโอนหุ้นในบริษัทจำกัดกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์การโอนและแบบไว้เป็นการเฉพาะ เมื่อการโอนหุ้นได้ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด เป็นการโอนที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ข้ออ้างของ KPNET ที่อ้างว่าสัญญาซื้อขายหุ้นเป็นโมฆะ เป็นเหตุทำให้การลงลายมือชื่อผู้รับโอนตราสารการโอนหุ้นไม่มีผลนั้น จึงไม่อาจรับฟังได้
นอกจากนี้ การที่บริษัท KPNET อาศัยผลของคำพิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ที่วินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายหุ้นเป็นเอกสารปลอม จึงทำให้ตนเองยังคงมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทอยู่นั้น ไม่อาจจะหักล้าง รายชื่อผู้ถือหุ้น ตามบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ปรากฏใน บอจ. 5 ได้ ดังนั้นเมื่อบริษัท KPNET ไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นใน บอจ 5 ฉบับปัจจุบัน จึงไม่อาจใช้สิทธิ์ร้องขอให้บริษัท WEH เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น หรือใช้สิทธิ์อื่นใดในการปรับเปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนแปลงกรรมการและกรรมการผู้มีอำนาจตามที่บริษัทร้องขอได้
ด้วยเหตุนี้ การร้องขอให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น รวมทั้งการมีหนังสือบอกกล่าวเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2567 ของ WEH จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนวิธีการข้อบังคับของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ นายทะเบียนจึงไม่อาจรับดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงสถานะบริษัทตามคำขอของบริษัทได้
หมายเหตุ: อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม..
-เนตรทิพย์:Special Report
จากวินด์ เอนเนอร์ยี่.... ถึง ณุศาศิริ.... ลับ ลวง พราง เกมหักเหลี่ยมทุบ “ห่านทองคำ”
http://www.natethip.com/news.php?id=8009